ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้

ธรรมชาติได้สร้างให้ร่างกายมนุษย์มีระบบล้างพิษตามธรรมชาติที่ดีที่สุด
ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้
ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่ จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใย มากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ
จากกระบวน การทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการ ขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพ คือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น
แต่ ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อ ให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
ดัง นั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40 เนื่องจาก...
  • เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่
  • เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

บัญญัติ 5 ประการในการเผาผลาญ




ผู้หญิงจำนวนมากประสบปัญหา บริโภคอาหารแต่พอประมาณเหตุไฉนรูปร่างยังเพิ่มพูนด้วยส่วนเกินนำมาซึ่งความสงสัยว่า อาจเกิดจากระบบการเผาผลาญในร่างกายของเราทำงานไม่ดีพอ ซึ่งก่อนสรุปควรต้อง รู้ข้อมูลว่า การเผาผลาญคืออะไร และ มีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญ ได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น



พญ.ซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อิน เตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด กล่าวถึงการทำงานของระบบการเผาผลาญใน ร่างกายว่า “เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกายที่ทำให้คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทำให้เราหายใจ มีการสูบฉีดโลหิต ส่งเสริมระบบการทำงานของสมอง และเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน”


“แต่ถ้าเราพูดถึงอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานขั้นพื้นฐานในร่างกายของคนเรา ก็จะหมายถึงจำนวนแคลอรีที่ร่างกายเราใช้ไปในแต่ละวันและระหว่างที่เรานอนหลับ เพื่อสนับสนุนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย”


พญ.ซูซาน อธิบายว่า อัตราการเผาผลาญมีความสัมพันธ์โดยตรงกับโครงสร้างและรูปร่างของคนเรา ไขมันในร่างกายจำนวน 1 ปอนด์ หรือ 0.454 กิโลกรัม สามารถเผาผลาญได้ประมาณ 2 แคลอรีในแต่ละวัน คนที่รูปร่างผอมบาง ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันจำนวน 1 ปอนด์ได้ถึงวันละ 14 แคลอรี แท้จริงแล้วร่างกายที่ผอมบางนั้นมีกล้ามเนื้อเป็นองค์ประกอบหลัก



ในตอนท้าย ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ ให้คำแนะนำว่า หนึ่งในวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมัน คือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่งด้วยการบริหารกล้ามเนื้อ พร้อมทั้งบริโภคอาหารที่มีโปรตีนในปริมาณมากเพียงพอนั่นเอง นอกจากนี้ยังเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย 5 ประการ ซึ่งยังเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน


“เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้การเผาผลาญแคลอรีลดลง” ข้อมูลถูกต้อง-เมื่อเราอายุมากขึ้น น้ำหนักตัวมักเพิ่มขึ้นตาม เนื่องจากออกกำลังกายน้อยลง ส่งผลให้การเผาผลาญแคเลอรีในแต่ละวันลดลงร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อลดลง ร่างกายจึงเริ่มมีรูปร่างหนาขึ้น อัตราการเผาผลาญพลังงานลดลง ดังนั้นการบริหารกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด เพื่อให้มีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น รวมทั้งการออกกำลังกายเพื่อเสริมกล้ามเนื้อจะช่วยควบคุมการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักที่เกิดจากวัยที่สูงขึ้นได้เป็นอย่างดี


“ระบบการเผาผลาญแคลอรีในร่างกายของเรา ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้” ข้อมูลถูกต้อง-เรามักพบว่า บางคนแสนจะโชคดี รับประทานอาหารได้ตลอดโดยน้ำหนักตัวไม่เพิ่ม ซึ่งอาจมาจากการเลือกบริโภคเพื่อสุขภาพและให้แคลอรีต่ำ หรืออาจเคลื่อนไหวร่างกายมากและตลอดเวลา เช่น ลุกจากโต๊ะเพื่อยืดเส้นยืดสาย หรือเดินไปหารือกับเพื่อนร่วมงานแทนการใช้อีเมล ดังนั้นหากต้องการให้ร่างกายเผาผลาญมากขึ้น เพียงเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อใช้กล้ามเนื้อมากขึ้น จะช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานได้ดี


“อาหารหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าอาหารร้อน หรืออาหารที่อุณหภูมิระดับเดียวกับอุณหภูมิห้อง” ข้อมูลถูกต้อง-ผลจากการปฏิบัติการทดลองพบว่า การเผาผลาญแคลอรีของผู้บริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มเย็นจะเพิ่มขึ้น เพียงเล็กน้อย (เพิ่มขึ้นวันละประมาณ 10 แคลอรี) ไม่มีผลต่อการ ทำให้น้ำหนักตัวลดลงเลย


“การลดการบริโภคแคลอรี ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญช้าลง” ข้อมูลถูกต้อง-ตามธรรมชาติร่างกายคนเราทำหน้าที่เก็บรักษาแคลอรีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การลดการบริโภคแคลอรีจะทำให้แคลอรีที่สะสมในร่างกายลดลง ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญแคลอรีลดลง แต่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง จะทำให้น้ำหนักตัวน้อยลง ไม่ส่งผลกระทบต่อการเผาผลาญในร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ คู่กับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญแคลอรีตามปกติ


“เมื่องดบริโภคอาหารตอนกลางคืนจะทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานช้าลง และทำให้ลดน้ำหนักได้มากขึ้น” ข้อมูลถูกต้อง-การหยุดบริโภคหลังจากมื้ออาหารปกติจะส่งผลให้มีน้ำหนักตัวลดลง เนื่องจากการบริโภคทำให้แคลอรีโดยรวมลดลง ไม่ใช่เกิดจากการบริโภคทำให้แคลอรีลดเร็วกว่าเดิม ดังนั้นการบริโภคเพื่อให้ได้รับแคลอรีก่อนพระอาทิตย์ตกดิน จึงไม่มีผลให้ลดน้ำหนักเร็วขึ้น เว้นแต่บริโภคอาหารที่มีแคลอรีในปริมาณน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย.

คุมเบาหวานอย่างไรไม่ให้อ้วน

โรคเบาหวานในประเทศไทยส่วนมากเกิดจากเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป

คุมเบาหวานอย่างไรไม่ให้อ้วน
พ.อ.หญิง รศ.พญ.อัมพา สุทธิจำรูญ รพ.พระมงกุฎเกล้า
โรคเบาหวานในประเทศไทยส่วนมากเกิดจากเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป แต่ขณะนี้พบว่าเด็กอ้วนเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ มีรายงานเด็กอายุเพียง 8 ขวบเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
เบา หวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือร่างกายมีระดับอินซูลินเพียงพอหรือสูงกว่าปกติ แต่เซลล์ของร่างกายไม่ตอบสนองต่อระดับอินซูลินที่มีอยู่ ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะมีน้ำหนักตัวเกิน หรืออ้วน คือ มีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) เท่ากับหรือมากกว่า 23.0 และ 25.0 กิโลกรัมต่อตารางเมตรตามลำดับ

วิธีการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ควรเริ่มด้วยการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย
โดยให้ได้เกณฑ์ดังนี้ ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารข้ามคืนควรมีค่าน้อยกว่า 130 มิลลิกรัม/ เดซิลิตร และค่าน้ำตาลในเลือดสะสมเอวันซี (Hb A1C) ควรมีค่าน้อยกว่า 6.5%

การ ควบคุมอาหารในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีหลักง่ายๆ คือ รับประทานอาหารให้ตรงมื้อหรือตรงเวลาในปริมาณที่เหมาะสม รับประทานแต่พออิ่ม ไม่ควรเสียดายอาหารเหลือ ควรงดหรือลดอาหารรสหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม และอาหารที่มีรสมัน เนื่องจากผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะมีระดับไขมันในเลือดผิดปกติร่วมด้วย ถ้าผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ยังติดในรสหวาน ควรใช้น้ำตาลเทียมทดแทนการใช้น้ำตาลทราย น้ำตาลเทียมเป็นสารที่ให้รสหวานแต่ให้พลังงานน้อย ได้แก่ แอสปาแทม (aspartame) ซูคราโลส (sucralose) เป็นต้น ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ข้าวแป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ นม และควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว นมเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพเนื่องจากให้สารอาหารและแคลเซียม ถ้ามีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ ควรดื่มนมพร่องไขมัน หากดื่มนมแล้วมีอาการท้องเสียให้งดดื่มได้ เนื่องจากลำไส้ของคุณไม่มีสารเอ็นไซม์ย่อยนม ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ควรเลือกรับประทานผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น มะม่วง มื้อละครึ่งลูกทั้งชนิดสุกหรือดิบ หรือ 1 ใน 4 ส่วนของมะม่วงลูกโตๆ ส่วนข้าวเหนียวมูลที่รับประทานกับมะม่วงนั้น รับประทานได้วันละ 2-3 คำพอหายอยากก็เพียงพอ เพราะว่ามีกะทิและให้พลังงานมาก จะทำให้อ้วนได้

นอก จากนี้ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออกกำลังกาย โดยการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ของร่างกาย ออกกำลังกายให้หนักและใช้เวลานานเพียงพอที่ทำให้การทำงานของหัวใจและปอดดี ขึ้น ควรทำอย่างสม่ำเสมอคู่ไปกับการควบคุมอาหาร จะช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาเพียงพอที่จะไปออกกำลังกายแบบแอโรบิค การทำกิจวัตรประจำวันให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินจากที่จอดรถไปที่ทำงานให้ได้วันละ 10 นาที การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ เช่น ต้องขึ้นลิฟต์ไปที่ทำงานชั้น 10 ก็ควรออกจากลิฟต์ที่ชั้น 5 และเดินขึ้นบันไดไปอีก 5 ชั้น เป็นต้น วิธีการเหล่านี้เป็นการช่วยเผาผลาญพลังงานที่คุณได้รับสะสมในร่างกายได้อีก ทางหนึ่ง
การออกกำลังกาย หรือการมีกิจกรรมเคลื่อนไหวของร่างกายควรทำให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีหรือ 2 ชั่วโมงครึ่ง/สัปดาห์ ถ้าคุณทำอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการควบคุมอาหาร โดยลดพลังงานที่รับประทานให้ได้วันละ 500 กิโลแคลอรี รับรองว่าคุณสามารถลดน้ำหนักตัวได้อย่างน้อยครึ่งถึง 1 กิโลกรัม/สัปดาห์เป็นแน่

อย่างไรก็ตามถ้าทำทั้ง 2 อย่างแล้วคุณยังควบคุมโรคเบาหวานไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อใช้ยารักษาเบาหวานที่เหมาะสมต่อไป

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้มีวิธีมาบอกค่ะ
วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น

เพียงเท่านี้ก็ลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าได้แล้ว.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

น้ำผึ้ง ส่วนผสมของความงาม

ลองมาทำเครื่องประทินผิวสูตรบำรุงผิวพรรณและเส้นผมอย่างง่ายๆ จากน้ำผึ้งกันค่ะ
น้ำผึ้ง ส่วนผสมของความงาม
นาน นับศตวรรษแล้วที่น้ำผึ้งถือเป็นเครื่องสำอางชั้นเยี่ยมในการดูแลรักษาผิว พรรณและเส้นผม แม้แต่คลีโอพัตรา ก็ยังอาบน้ำนมผสมน้ำผึ้ง และยังมีหญิงสาวในยุคโบราณใช้น้ำนมในการทาผิวหน้าเพื่อคงความอ่อนเยาว์ไว้ ชั่วกาลนาน ต่อมาในราวปีค.ศ.1800 วงการเครื่องสำอางก็เริ่มนำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะผสมในเครื่องสำอางบำรุงผิว ครีมพอกหน้า ครีมนวดผม และครีมอาบน้ำ
น้ำผึ้งประกอบด้วย น้ำประมาณ 20 % น้ำตาลชนิดต่างๆ 79% กรดชนิดต่างๆ 0.5% โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และเอนไซม์ 0.5% นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ ในน้ำผึ้ง ได้แก่ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามิน บี5 วิตามิน บี12 ไบโอติน เหล็ก ทองแดง แมงกานิส ซิลิคอน แคลเซียม โซเดียม โปตัสเซียม ฟอสฟอรัส อะลูมิเนียม กำมะถัน คลอรีน โบรมีน

ประโยชน์ของน้ำผึ้งมีมากมาย ได้แก่ ใช้เป็นเครื่องสำอางถนอมผิว แก้อ่อนเพลีย บำรุงร่างกาย ให้ความสดชื่น ใช้ปรุงอาหารต่างๆ ปรุงยาสมุนไพร หรือใช้ดองพืช ผัก ผลไม้ไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้สมานแผลสดและผิวถูกไฟไหม้ให้หายเร็วขึ้น เพราะน้ำผึ้งมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านจุลชีพ

น้ำผึ้ง ... ครีมบำรุงธรรมชาติ
น้ำ คือส่วนประกอบสำคัญของผิว ซึ่งจะทำให้ผิวมีความนุ่มชุ่มชื่นมีความยืดหยุ่นอยู่เสมอ แต่ผิวหนังจะเริ่มแปรเปลี่ยนไปตามอายุขัยของคนเรา รวมทั้งสภาพแวดล้อมและการได้รับสารเคมีต่างๆ จึงทำให้ผิวสูญเสียการเก็บกักน้ำไป ทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอย ทั้งนี้น้ำผึ้งมีสรรพคุณในการเป็นตัวกักเก็บน้ำที่ให้ความชุ่มชื้นไว้กับผิว เป็นตัวต้านความระคายเคือง จึงเหมาะมากสำหรับคนที่มีผิว sensitive และผิวเด็ก ดังนั้นน้ำผึ้งจึงเป็นส่วนสำคัญของเครื่องสำอางหลากหลายที่ให้ความชุ่มชื้น กับผิว ทั้ง cleansers ครีมแชมพูและครีมนวดผม
นอก จากนี้ยังมีงานวิจัยที่พัฒนาในการใช้น้ำผึ้งในการสร้าง alpha Hydroxy Acids (AHAs) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพราะน้ำผึ้งจะช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น เช่นเดียวกับที่น้ำผึ้งเป็น Antioxidants โดยมีการศึกษาพบว่าน้ำผึ้งมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ธรรมชาติ จึงสามารถปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากรังสียูวี ที่เป็นสาเหตุให้ผิวแก่ก่อนวัยและมะเร็งผิวหนัง อายุขัย และช่วยฟื้นฟูผิว เนื่องจากสารเคมีบางชนิดในผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด อาจทำให้ผิวคันได้ จึงมีการใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิวจากแสงแดด
ลองมาทำเครื่องประทินผิวสูตรบำรุงผิวพรรณและเส้นผมอย่างง่ายๆ จากน้ำผึ้งกัน

ครีมอาบน้ำอ่อนโยน
หลัง จากอาบน้ำจนตัวสะอาดแล้ว ให้เทน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย ลงไปในน้ำเพื่อให้มีกลิ่นหอมและให้ความนุ่มชุ่มชื่นผิว แล้วอาบผิวโดยไม่ต้องล้างออก ซับให้แห้ง

ครีมบำรุงผม
ปรุง สูตรบำรุงผมด้วยตัวคุณเองโดยใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เทลงไปในน้ำอุ่น 4 ถ้วย (1 ควอร์ท) และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน สูตรนี้ให้ใช้หลังจากสระผมแล้ว โดยนำน้ำผึ้งผสมมะนาวมาเทลงบนเส้นผม นวดให้ทั่ว โดยไม่ต้องล้างออก ปล่อยให้เส้นผมแห้งตามธรรมชาติ คุณจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มมีน้ำหนักมากขึ้นของเส้นผม

ครีมพอกหน้า
  • ผสม น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับ นมสด 2 ช้อนชาเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาทาผิวหน้าและคอให้ทั่ว ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ มะนาว 1 ช้อนชา และเนื้ออะโวคาโดสุก 1 ผล นำส่วนผสมทั้งหมดมากวนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกใบหน้าเว้นบริเวณรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น
โลชั่นบำรุงผิว
ผสม น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 1 ช้อนชา และน้ำมะนาว ¼ ช้อนชา จากนั้นนำมาถูมือ ข้อศอก ส้นเท้า หรือบริเวณที่ผิวแห้ง จากนั้นทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวที่เคยแห้งแตกก็จะสมานกันนุ่มเนียนขึ้น

ครีมขัดผิวหน้า
ผสม น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เข้ากับอัลมอนด์ป่น 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว ½ ช้อนชา จากนั้นนำมาขัดผิวหน้าเบาๆ อย่างอ่อนโยน จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ผิวจะนุ่มเนียนเรียบขึ้น แต่การขัดผิวหน้าไม่ควรทำบ่อยครั้ง 1-2 สัปดาห์ต่อครั้งก็เพียงพอ

ครีมพอกกระชับผิวหน้า
นำ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ขาว 1 ฟอง กลีเซอรีน 1 ช้อนชา และแป้ง ทั้งหมดนำมาปั่นให้เข้ากัน ซึ่งส่วนผสมทั้งหมดจะได้ประมาณ ¼ ถ้วย จากนั้นนำมาทาผิวหน้าและลำคอ ที่สำคัญคุณอย่าลืมเว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

น้ำผึ้งถือเป็นสมุนไพร ธรรมชาติที่หาง่ายในบ้านเรา แถมมีคุณภาพดี สูตรปรนนิบัติผิวพรรณต่างๆ ที่แนะนำคุณมาเป็นสูตรที่แสนง่าย ไม่ต้องใช้ส่วนผสมมากมายให้ยุ่งยาก แต่ให้ผลดีที่คุณจะสัมผัสได้ ลองดูสิค่ะ...
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยแอปเปิ้ล

ทราบหรือไม่ว่า แอปเปิ้ลที่ทานกันเป็นประจำ สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก
เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยแอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลที่ทานกันบ่อย ๆ นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยหวานกรอบแล้วนั้น ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยมอบความชุ่มชื้นสู่ผิว ทำให้ผิวแลดูสดใสขึ้น เหมาะกับผิวหน้าที่กร้านแดดกร้านลม

วิธีทำ คือ นำแอปเปิ้ลมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแอปเปิ้ลออก แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอประมาณ แล้วนำไปปั่นในเครื่องปั่นพร้อมผสมนมสดแช่เย็นลงไปเล็กน้อย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากัน แล้วนำส่วนผสมนี้มาพอกหน้าแล้วนวดคลึงเพียงเบา ๆ ประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นจึงใช้นมสดเย็น ๆ ล้างผิวหน้า และตามด้วยการล้างหน้าตามปกติ

ถ้าอยากมีผิวหน้าชุ่มชื้น ลองนำแอปเปิ้ลมาพอกหน้ากันดูได้.



ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วิธีกำจัดน้ำหนักส่วนเกินสำหรับคนเลือดกรุ๊ปบี

1. งดอาหารที่ชะลอการทำงานของระบบเผาผลาญ
เช่น ข้าวโพด แป้งสาลี ถั่วลิสง เนื้อไก่ บัควีต ที่มีเล็กตินต่อต้านระบบการเผาผลาญไขมัน

2. กินอาหารให้สมดุล
ครบห้าหมู่และดีกับกรุ๊ปเลือดคุณ เน้นผักและผลไม้เส้นใยอาหารมาก

3. ดื่มน้ำและชาเขียว
เพื่อ กระตุ้นการทำงานของระบบเมตาบอลิซึ่ม ชาเขียวสามารถสลายไขมันได้ถึงร้อยละ 30 หากดื่ม 3 แก้วต่อวัน (เลือกแบบมาชงเองนะ ชาสำเร็จรูปเป็นขวดน้ำตาลเยอะ) ดื่มน้ำควบคู่กันไปด้วย

4. สับปะรดช่วยสลายไขมัน
ด้วยเอนไซม์โบรมีเลน ช่วยย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น ลดการสะสมไขมัน และช่วยทำความสะอาดอวัยวะภายใน แบบดีท๊อกซ์ กินทุกวันช่วงลดน้ำหนัก

5. ออกกำลังกาย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
สลายไขมันและความเครียด ด้วยการออกกำลังแบบปานกลางครั้งละ 30-45 นาที เช่น ขี่จักรยาน เทนนิส ว่ายน้ำ เดินเร็ว เป็นต้น

ทดลองใช้ฟรี เป็นชาเขียวช่วยเผาผลาญไขมัน