ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้

ธรรมชาติได้สร้างให้ร่างกายมนุษย์มีระบบล้างพิษตามธรรมชาติที่ดีที่สุด
ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้
ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่ จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใย มากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ
จากกระบวน การทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการ ขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพ คือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น
แต่ ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อ ให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
ดัง นั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40 เนื่องจาก...
  • เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่
  • เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

บัญญัติ 5 ประการในการเผาผลาญ




ผู้หญิงจำนวนมากประสบปัญหา บริโภคอาหารแต่พอประมาณเหตุไฉนรูปร่างยังเพิ่มพูนด้วยส่วนเกินนำมาซึ่งความสงสัยว่า อาจเกิดจากระบบการเผาผลาญในร่างกายของเราทำงานไม่ดีพอ ซึ่งก่อนสรุปควรต้อง รู้ข้อมูลว่า การเผาผลาญคืออะไร และ มีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญ ได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น



พญ.ซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อิน เตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด กล่าวถึงการทำงานของระบบการเผาผลาญใน ร่างกายว่า “เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกายที่ทำให้คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทำให้เราหายใจ มีการสูบฉีดโลหิต ส่งเสริมระบบการทำงานของสมอง และเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน”


“แต่ถ้าเราพูดถึงอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานขั้นพื้นฐานในร่างกายของคนเรา ก็จะหมายถึงจำนวนแคลอรีที่ร่างกายเราใช้ไปในแต่ละวันและระหว่างที่เรานอนหลับ เพื่อสนับสนุนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย”


พญ.ซูซาน อธิบายว่า อัตราการเผาผลาญมีความสัมพันธ์โดยตรงกับโครงสร้างและรูปร่างของคนเรา ไขมันในร่างกายจำนวน 1 ปอนด์ หรือ 0.454 กิโลกรัม สามารถเผาผลาญได้ประมาณ 2 แคลอรีในแต่ละวัน คนที่รูปร่างผอมบาง ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันจำนวน 1 ปอนด์ได้ถึงวันละ 14 แคลอรี แท้จริงแล้วร่างกายที่ผอมบางนั้นมีกล้ามเนื้อเป็นองค์ประกอบหลัก



ในตอนท้าย ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ ให้คำแนะนำว่า หนึ่งในวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมัน คือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่งด้วยการบริหารกล้ามเนื้อ พร้อมทั้งบริโภคอาหารที่มีโปรตีนในปริมาณมากเพียงพอนั่นเอง นอกจากนี้ยังเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย 5 ประการ ซึ่งยังเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน


“เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้การเผาผลาญแคลอรีลดลง” ข้อมูลถูกต้อง-เมื่อเราอายุมากขึ้น น้ำหนักตัวมักเพิ่มขึ้นตาม เนื่องจากออกกำลังกายน้อยลง ส่งผลให้การเผาผลาญแคเลอรีในแต่ละวันลดลงร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อลดลง ร่างกายจึงเริ่มมีรูปร่างหนาขึ้น อัตราการเผาผลาญพลังงานลดลง ดังนั้นการบริหารกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด เพื่อให้มีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น รวมทั้งการออกกำลังกายเพื่อเสริมกล้ามเนื้อจะช่วยควบคุมการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักที่เกิดจากวัยที่สูงขึ้นได้เป็นอย่างดี


“ระบบการเผาผลาญแคลอรีในร่างกายของเรา ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้” ข้อมูลถูกต้อง-เรามักพบว่า บางคนแสนจะโชคดี รับประทานอาหารได้ตลอดโดยน้ำหนักตัวไม่เพิ่ม ซึ่งอาจมาจากการเลือกบริโภคเพื่อสุขภาพและให้แคลอรีต่ำ หรืออาจเคลื่อนไหวร่างกายมากและตลอดเวลา เช่น ลุกจากโต๊ะเพื่อยืดเส้นยืดสาย หรือเดินไปหารือกับเพื่อนร่วมงานแทนการใช้อีเมล ดังนั้นหากต้องการให้ร่างกายเผาผลาญมากขึ้น เพียงเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อใช้กล้ามเนื้อมากขึ้น จะช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานได้ดี


“อาหารหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าอาหารร้อน หรืออาหารที่อุณหภูมิระดับเดียวกับอุณหภูมิห้อง” ข้อมูลถูกต้อง-ผลจากการปฏิบัติการทดลองพบว่า การเผาผลาญแคลอรีของผู้บริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มเย็นจะเพิ่มขึ้น เพียงเล็กน้อย (เพิ่มขึ้นวันละประมาณ 10 แคลอรี) ไม่มีผลต่อการ ทำให้น้ำหนักตัวลดลงเลย


“การลดการบริโภคแคลอรี ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญช้าลง” ข้อมูลถูกต้อง-ตามธรรมชาติร่างกายคนเราทำหน้าที่เก็บรักษาแคลอรีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การลดการบริโภคแคลอรีจะทำให้แคลอรีที่สะสมในร่างกายลดลง ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญแคลอรีลดลง แต่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง จะทำให้น้ำหนักตัวน้อยลง ไม่ส่งผลกระทบต่อการเผาผลาญในร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ คู่กับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญแคลอรีตามปกติ


“เมื่องดบริโภคอาหารตอนกลางคืนจะทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานช้าลง และทำให้ลดน้ำหนักได้มากขึ้น” ข้อมูลถูกต้อง-การหยุดบริโภคหลังจากมื้ออาหารปกติจะส่งผลให้มีน้ำหนักตัวลดลง เนื่องจากการบริโภคทำให้แคลอรีโดยรวมลดลง ไม่ใช่เกิดจากการบริโภคทำให้แคลอรีลดเร็วกว่าเดิม ดังนั้นการบริโภคเพื่อให้ได้รับแคลอรีก่อนพระอาทิตย์ตกดิน จึงไม่มีผลให้ลดน้ำหนักเร็วขึ้น เว้นแต่บริโภคอาหารที่มีแคลอรีในปริมาณน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย.

คุมเบาหวานอย่างไรไม่ให้อ้วน

โรคเบาหวานในประเทศไทยส่วนมากเกิดจากเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป

คุมเบาหวานอย่างไรไม่ให้อ้วน
พ.อ.หญิง รศ.พญ.อัมพา สุทธิจำรูญ รพ.พระมงกุฎเกล้า
โรคเบาหวานในประเทศไทยส่วนมากเกิดจากเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป แต่ขณะนี้พบว่าเด็กอ้วนเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ มีรายงานเด็กอายุเพียง 8 ขวบเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
เบา หวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือร่างกายมีระดับอินซูลินเพียงพอหรือสูงกว่าปกติ แต่เซลล์ของร่างกายไม่ตอบสนองต่อระดับอินซูลินที่มีอยู่ ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะมีน้ำหนักตัวเกิน หรืออ้วน คือ มีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) เท่ากับหรือมากกว่า 23.0 และ 25.0 กิโลกรัมต่อตารางเมตรตามลำดับ

วิธีการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ควรเริ่มด้วยการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย
โดยให้ได้เกณฑ์ดังนี้ ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารข้ามคืนควรมีค่าน้อยกว่า 130 มิลลิกรัม/ เดซิลิตร และค่าน้ำตาลในเลือดสะสมเอวันซี (Hb A1C) ควรมีค่าน้อยกว่า 6.5%

การ ควบคุมอาหารในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีหลักง่ายๆ คือ รับประทานอาหารให้ตรงมื้อหรือตรงเวลาในปริมาณที่เหมาะสม รับประทานแต่พออิ่ม ไม่ควรเสียดายอาหารเหลือ ควรงดหรือลดอาหารรสหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม และอาหารที่มีรสมัน เนื่องจากผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะมีระดับไขมันในเลือดผิดปกติร่วมด้วย ถ้าผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ยังติดในรสหวาน ควรใช้น้ำตาลเทียมทดแทนการใช้น้ำตาลทราย น้ำตาลเทียมเป็นสารที่ให้รสหวานแต่ให้พลังงานน้อย ได้แก่ แอสปาแทม (aspartame) ซูคราโลส (sucralose) เป็นต้น ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ข้าวแป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ นม และควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว นมเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพเนื่องจากให้สารอาหารและแคลเซียม ถ้ามีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ ควรดื่มนมพร่องไขมัน หากดื่มนมแล้วมีอาการท้องเสียให้งดดื่มได้ เนื่องจากลำไส้ของคุณไม่มีสารเอ็นไซม์ย่อยนม ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ควรเลือกรับประทานผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น มะม่วง มื้อละครึ่งลูกทั้งชนิดสุกหรือดิบ หรือ 1 ใน 4 ส่วนของมะม่วงลูกโตๆ ส่วนข้าวเหนียวมูลที่รับประทานกับมะม่วงนั้น รับประทานได้วันละ 2-3 คำพอหายอยากก็เพียงพอ เพราะว่ามีกะทิและให้พลังงานมาก จะทำให้อ้วนได้

นอก จากนี้ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออกกำลังกาย โดยการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ของร่างกาย ออกกำลังกายให้หนักและใช้เวลานานเพียงพอที่ทำให้การทำงานของหัวใจและปอดดี ขึ้น ควรทำอย่างสม่ำเสมอคู่ไปกับการควบคุมอาหาร จะช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาเพียงพอที่จะไปออกกำลังกายแบบแอโรบิค การทำกิจวัตรประจำวันให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินจากที่จอดรถไปที่ทำงานให้ได้วันละ 10 นาที การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ เช่น ต้องขึ้นลิฟต์ไปที่ทำงานชั้น 10 ก็ควรออกจากลิฟต์ที่ชั้น 5 และเดินขึ้นบันไดไปอีก 5 ชั้น เป็นต้น วิธีการเหล่านี้เป็นการช่วยเผาผลาญพลังงานที่คุณได้รับสะสมในร่างกายได้อีก ทางหนึ่ง
การออกกำลังกาย หรือการมีกิจกรรมเคลื่อนไหวของร่างกายควรทำให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีหรือ 2 ชั่วโมงครึ่ง/สัปดาห์ ถ้าคุณทำอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการควบคุมอาหาร โดยลดพลังงานที่รับประทานให้ได้วันละ 500 กิโลแคลอรี รับรองว่าคุณสามารถลดน้ำหนักตัวได้อย่างน้อยครึ่งถึง 1 กิโลกรัม/สัปดาห์เป็นแน่

อย่างไรก็ตามถ้าทำทั้ง 2 อย่างแล้วคุณยังควบคุมโรคเบาหวานไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อใช้ยารักษาเบาหวานที่เหมาะสมต่อไป

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้มีวิธีมาบอกค่ะ
วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น

เพียงเท่านี้ก็ลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าได้แล้ว.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

น้ำผึ้ง ส่วนผสมของความงาม

ลองมาทำเครื่องประทินผิวสูตรบำรุงผิวพรรณและเส้นผมอย่างง่ายๆ จากน้ำผึ้งกันค่ะ
น้ำผึ้ง ส่วนผสมของความงาม
นาน นับศตวรรษแล้วที่น้ำผึ้งถือเป็นเครื่องสำอางชั้นเยี่ยมในการดูแลรักษาผิว พรรณและเส้นผม แม้แต่คลีโอพัตรา ก็ยังอาบน้ำนมผสมน้ำผึ้ง และยังมีหญิงสาวในยุคโบราณใช้น้ำนมในการทาผิวหน้าเพื่อคงความอ่อนเยาว์ไว้ ชั่วกาลนาน ต่อมาในราวปีค.ศ.1800 วงการเครื่องสำอางก็เริ่มนำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะผสมในเครื่องสำอางบำรุงผิว ครีมพอกหน้า ครีมนวดผม และครีมอาบน้ำ
น้ำผึ้งประกอบด้วย น้ำประมาณ 20 % น้ำตาลชนิดต่างๆ 79% กรดชนิดต่างๆ 0.5% โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และเอนไซม์ 0.5% นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ ในน้ำผึ้ง ได้แก่ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามิน บี5 วิตามิน บี12 ไบโอติน เหล็ก ทองแดง แมงกานิส ซิลิคอน แคลเซียม โซเดียม โปตัสเซียม ฟอสฟอรัส อะลูมิเนียม กำมะถัน คลอรีน โบรมีน

ประโยชน์ของน้ำผึ้งมีมากมาย ได้แก่ ใช้เป็นเครื่องสำอางถนอมผิว แก้อ่อนเพลีย บำรุงร่างกาย ให้ความสดชื่น ใช้ปรุงอาหารต่างๆ ปรุงยาสมุนไพร หรือใช้ดองพืช ผัก ผลไม้ไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้สมานแผลสดและผิวถูกไฟไหม้ให้หายเร็วขึ้น เพราะน้ำผึ้งมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านจุลชีพ

น้ำผึ้ง ... ครีมบำรุงธรรมชาติ
น้ำ คือส่วนประกอบสำคัญของผิว ซึ่งจะทำให้ผิวมีความนุ่มชุ่มชื่นมีความยืดหยุ่นอยู่เสมอ แต่ผิวหนังจะเริ่มแปรเปลี่ยนไปตามอายุขัยของคนเรา รวมทั้งสภาพแวดล้อมและการได้รับสารเคมีต่างๆ จึงทำให้ผิวสูญเสียการเก็บกักน้ำไป ทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอย ทั้งนี้น้ำผึ้งมีสรรพคุณในการเป็นตัวกักเก็บน้ำที่ให้ความชุ่มชื้นไว้กับผิว เป็นตัวต้านความระคายเคือง จึงเหมาะมากสำหรับคนที่มีผิว sensitive และผิวเด็ก ดังนั้นน้ำผึ้งจึงเป็นส่วนสำคัญของเครื่องสำอางหลากหลายที่ให้ความชุ่มชื้น กับผิว ทั้ง cleansers ครีมแชมพูและครีมนวดผม
นอก จากนี้ยังมีงานวิจัยที่พัฒนาในการใช้น้ำผึ้งในการสร้าง alpha Hydroxy Acids (AHAs) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพราะน้ำผึ้งจะช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น เช่นเดียวกับที่น้ำผึ้งเป็น Antioxidants โดยมีการศึกษาพบว่าน้ำผึ้งมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ธรรมชาติ จึงสามารถปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากรังสียูวี ที่เป็นสาเหตุให้ผิวแก่ก่อนวัยและมะเร็งผิวหนัง อายุขัย และช่วยฟื้นฟูผิว เนื่องจากสารเคมีบางชนิดในผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด อาจทำให้ผิวคันได้ จึงมีการใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิวจากแสงแดด
ลองมาทำเครื่องประทินผิวสูตรบำรุงผิวพรรณและเส้นผมอย่างง่ายๆ จากน้ำผึ้งกัน

ครีมอาบน้ำอ่อนโยน
หลัง จากอาบน้ำจนตัวสะอาดแล้ว ให้เทน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย ลงไปในน้ำเพื่อให้มีกลิ่นหอมและให้ความนุ่มชุ่มชื่นผิว แล้วอาบผิวโดยไม่ต้องล้างออก ซับให้แห้ง

ครีมบำรุงผม
ปรุง สูตรบำรุงผมด้วยตัวคุณเองโดยใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เทลงไปในน้ำอุ่น 4 ถ้วย (1 ควอร์ท) และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน สูตรนี้ให้ใช้หลังจากสระผมแล้ว โดยนำน้ำผึ้งผสมมะนาวมาเทลงบนเส้นผม นวดให้ทั่ว โดยไม่ต้องล้างออก ปล่อยให้เส้นผมแห้งตามธรรมชาติ คุณจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มมีน้ำหนักมากขึ้นของเส้นผม

ครีมพอกหน้า
  • ผสม น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับ นมสด 2 ช้อนชาเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาทาผิวหน้าและคอให้ทั่ว ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ มะนาว 1 ช้อนชา และเนื้ออะโวคาโดสุก 1 ผล นำส่วนผสมทั้งหมดมากวนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกใบหน้าเว้นบริเวณรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น
โลชั่นบำรุงผิว
ผสม น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 1 ช้อนชา และน้ำมะนาว ¼ ช้อนชา จากนั้นนำมาถูมือ ข้อศอก ส้นเท้า หรือบริเวณที่ผิวแห้ง จากนั้นทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวที่เคยแห้งแตกก็จะสมานกันนุ่มเนียนขึ้น

ครีมขัดผิวหน้า
ผสม น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เข้ากับอัลมอนด์ป่น 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว ½ ช้อนชา จากนั้นนำมาขัดผิวหน้าเบาๆ อย่างอ่อนโยน จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ผิวจะนุ่มเนียนเรียบขึ้น แต่การขัดผิวหน้าไม่ควรทำบ่อยครั้ง 1-2 สัปดาห์ต่อครั้งก็เพียงพอ

ครีมพอกกระชับผิวหน้า
นำ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ขาว 1 ฟอง กลีเซอรีน 1 ช้อนชา และแป้ง ทั้งหมดนำมาปั่นให้เข้ากัน ซึ่งส่วนผสมทั้งหมดจะได้ประมาณ ¼ ถ้วย จากนั้นนำมาทาผิวหน้าและลำคอ ที่สำคัญคุณอย่าลืมเว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

น้ำผึ้งถือเป็นสมุนไพร ธรรมชาติที่หาง่ายในบ้านเรา แถมมีคุณภาพดี สูตรปรนนิบัติผิวพรรณต่างๆ ที่แนะนำคุณมาเป็นสูตรที่แสนง่าย ไม่ต้องใช้ส่วนผสมมากมายให้ยุ่งยาก แต่ให้ผลดีที่คุณจะสัมผัสได้ ลองดูสิค่ะ...
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยแอปเปิ้ล

ทราบหรือไม่ว่า แอปเปิ้ลที่ทานกันเป็นประจำ สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก
เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยแอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลที่ทานกันบ่อย ๆ นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยหวานกรอบแล้วนั้น ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยมอบความชุ่มชื้นสู่ผิว ทำให้ผิวแลดูสดใสขึ้น เหมาะกับผิวหน้าที่กร้านแดดกร้านลม

วิธีทำ คือ นำแอปเปิ้ลมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแอปเปิ้ลออก แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอประมาณ แล้วนำไปปั่นในเครื่องปั่นพร้อมผสมนมสดแช่เย็นลงไปเล็กน้อย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากัน แล้วนำส่วนผสมนี้มาพอกหน้าแล้วนวดคลึงเพียงเบา ๆ ประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นจึงใช้นมสดเย็น ๆ ล้างผิวหน้า และตามด้วยการล้างหน้าตามปกติ

ถ้าอยากมีผิวหน้าชุ่มชื้น ลองนำแอปเปิ้ลมาพอกหน้ากันดูได้.



ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วิธีกำจัดน้ำหนักส่วนเกินสำหรับคนเลือดกรุ๊ปบี

1. งดอาหารที่ชะลอการทำงานของระบบเผาผลาญ
เช่น ข้าวโพด แป้งสาลี ถั่วลิสง เนื้อไก่ บัควีต ที่มีเล็กตินต่อต้านระบบการเผาผลาญไขมัน

2. กินอาหารให้สมดุล
ครบห้าหมู่และดีกับกรุ๊ปเลือดคุณ เน้นผักและผลไม้เส้นใยอาหารมาก

3. ดื่มน้ำและชาเขียว
เพื่อ กระตุ้นการทำงานของระบบเมตาบอลิซึ่ม ชาเขียวสามารถสลายไขมันได้ถึงร้อยละ 30 หากดื่ม 3 แก้วต่อวัน (เลือกแบบมาชงเองนะ ชาสำเร็จรูปเป็นขวดน้ำตาลเยอะ) ดื่มน้ำควบคู่กันไปด้วย

4. สับปะรดช่วยสลายไขมัน
ด้วยเอนไซม์โบรมีเลน ช่วยย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น ลดการสะสมไขมัน และช่วยทำความสะอาดอวัยวะภายใน แบบดีท๊อกซ์ กินทุกวันช่วงลดน้ำหนัก

5. ออกกำลังกาย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
สลายไขมันและความเครียด ด้วยการออกกำลังแบบปานกลางครั้งละ 30-45 นาที เช่น ขี่จักรยาน เทนนิส ว่ายน้ำ เดินเร็ว เป็นต้น

ทดลองใช้ฟรี เป็นชาเขียวช่วยเผาผลาญไขมัน

กินตามกรุ๊ปเลือด มีผลกับชีวิตแค่ไหน ?

เลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีในเลือดต่างกัน แต่จะมี Antigen เป็นตัวกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารทุกชนิดล้วนมีโปรตีนซึ่งเป็นอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติเหนียวและจับเกาะติดเลือด เรียกว่า เล็คติน ถ้าการกินอาหารที่มีเล็คตินไม่เหมาะกับเลือดเรา เล็คตินเหล่านั้นยังเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร การสร้างอินซูลิน การเผาผลาญอาหาร และความสมดุลของฮอร์โมน

กรุ๊ป A นักมังสวิรัติ
คน เลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่จะมีกรดในกระเพาะต่ำ ทำให้ระบบกายย่อยไม่ค่อยดี ระบบภูมิคุ้มกันก็ไม่ดี มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและมะเร็ง กรุ๊ปเอจึงถูกจัดเป็นนักมังสวิรัติ
อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด กินปลาอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อเสริมโปรตีนหลีกเลี่ยงปลาเนื้อขาว เช่น ปลาตาเดียว หรือปลาจะละเม็ด เพราะมีเล็คตินรบกวนระบบการย่อย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ต่างๆ อาจกินเนื้อไก่ได้นิดหน่อย เลือกดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำแทนนมวัว กินไข่ได้บ้างเป็นครั้งคราว
บรรดาตระกูลถั่วต่างๆ อาทิ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสงที่มีเยื่อหุ้มบางๆ และถั่วเหลือง เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปนี้ สามาถกินข้าวกล้องหรือซีเรียลได้วันละ 1-2 ครั้ง ผักทั้งสดและสุกกินแล้วดี โดยเฉพาะหอมหัวใหญ่และบร็อคเคอลีมีสารแอนติออกซิแดนท์สูง แครอท ฟักทอง ผักโขม และกระเทียม ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน กินผลไม้ได้แทบทุกชนิดยกเว้นแตงโม แคนตาลูป มะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม เพราะย่อยยาก พวกชาสมุนไพรจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ไวน์แดงดื่มได้แต่ควรเลี่ยงเบียร์และน้ำอัดลม

กรุ๊ป B อ้วนง่าย
คน ที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่มีปัญหากับไวรัสและภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบประสาทไม่ค่อยดี ชอบปวดตามข้อ ซึ่งไม่ใช่อาการของเกาต์หรือรูมาทอยด์ มีโอกาสเกิดโรคแผลในสมอง (Sclerosis) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
อาหารที่ เหมาะกับกรุ๊ปเลือด เนื้อกระต่าย กวาง แกะ ไก่งวง ควรกินปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ และปลาเนื้อขาวอย่างปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว หลีกเลี่ยงเนื้อหมู ไก่ หอยเชลล์ กุ้ง ปู หอยแครง เพราะจะรบกวนระบบในร่างกายสามารถกินนม เนย ไข่ ในปริมาณที่เหมาะสมได้
ข้าวโอ๊ตและข้าวกล้องดีต่อคนเลือดกรุ๊ปนี้ ขณะที่แป้งสาลี ถั่วลิสง และโฮลวีท ไม่ดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย ทำให้อ้วน และไม่ดีต่อเลือด อาจเป็นสาเหตุของโรคเส้นโลหิตแตก ควรลองแป้งสเปลท์ (Spelt) ซึ่งเป็นแป้งที่มีคุณค่าทางสารอาหารและมีไฟเบอร์สูง ผักใบเขียวทุกชนิดกินดีหมด เพราะมีแมกนีเซียมช่วยป้องกันอาการผื่นคัน
แต่ ถ้าอยู่ระหว่างไดเอ็ทควรหลีกเลี่ยงมะเขือเทศและข้าวโพด เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลินและระบบเผาผลาญ กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้นลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์ ชาสมุนไพรที่ให้ประโยชน์คือ ขิง เปปเปอร์มิ้นต์ โสม ชาเขียว

กรุ๊ป O High Protein
ปัญหาของคน เลือดกรุ๊ปนี้คือ กระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ค่อยคงที่ จึงทำให้อ้วนง่าย ตามติดมาด้วยปัญหาเลือดแข็งตัวช้า
อาหารที่เหมาะกับ กรุ๊ปเลือด เลือกกินเนื้อได้ตามใจชอบ กินอาหารทะเลได้เป็นประจำเพื่อป้องกันโรคเลือดไม่แข็งตัวและไทรอยด์ แต่ระวังเรื่องไขมันและโคเรสเตอรอลด้วย กินนม เนย ไข่ ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยากผอมต้องเลี่ยงแป้งสาลี ข้าวโอ๊ต และบรรดาถั่วต่างๆ
ผักกินได้ แทบทุกชนิด โดยเฉพาะบร็อคเคอลี ผักโขม มีวิตามินเคสูง ช่วยให้เลือดแข็งตัว ส่วนผักตระกูลกะหล่ำเสี่ยงเสียเพราะมีผลต่อไทรอยด์ เห็ดหอม และมะกอกดองทำให้เกิดอาการแพ้ มะเขือยาวและมันฝรั่งทำให้ปวดข้อ ผลไม้กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะตระกูลเกรปฟรุต ตระกูลเบอร์รี่ (ยกเว้นแบล็คเบอร์รี่) ช่วยลดน้ำหนัก ควรเลี่ยงแคนตาลูป มะพร้าว ส้ม และ
สตรอว์เบอร์รี่ เพราะมีกรดสูงเกินไป ชาสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ อาทิ เปปเปอร์มิ้นต์ Licorice Tea Parsley ฯลฯ ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะเพิ่มกรดในกระเพาะให้หนักเข้าไปอีก

กรุ๊ป AB มังสวิรัติและคาร์โบไฮเดรต
กรู๊ ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกรุ๊ปเลือดเอกับบี ดังนั้นวิถีการกินที่เหมาะสมกับคนกรุ๊ปนี้จึงเป็นการผสมผสานการกิน มังสวิรัติหน่อยๆ กับการกินแบบกรุ๊ปบีนิดๆ คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีจุดอ่อนเรื่องสุขภาพอยู่ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและ กรดในกระเพาะต่ำ
อาหารที่เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองและเต้าหู้ สามารถกินเนื้อแกะ กวาง กระต่าย และไก่งวงได้นิดหน่อย ไม่ควรกินปลาเนื้อขาวและแซลมอนรมควัน เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร สามารถกินนม เนย ไข่ และโยเกิร์ตไขมันต่ำได้ จำพวกข้าว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรงดเว้นการกินถั่วแดง งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ข้าวโพด เพราะจะชะลอการทำงานของอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงเฉียบพลัน ผักสดกินได้แทบทุกชนิด ช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ ผลไม้กินได้ดีเป็นบางอย่าง อาทิ องุ่น พลัม ตระกูลเบอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุลของกรดในเนื้อเยี่อ ไม่ควรกินกล้วย มะม่วง ฝรั่ง ส้ม

บัญญัติ 10 ประการดูแลสีเล็บสวย

บัญญัติ 10 ประการดูแลสีเล็บสวย
ถ้าคุณชอบเรื่องความสวยความงาม อย่างเช่น การทาเล็บ เรามีเทคนิคในการดูแลสีเล็บ ให้สวยเรียบ และติดทน ไม่กระเทาะง่าย มาฝาก

1. รูปร่างที่ดีที่สุดสำหรับเล็บ คือรูปไข่ ที่ ตัดตรงด้านบนไปทีเดียว ให้เหลือความยาวของเล็บ ไม่เกินเศษหนึ่งส่วนสี่นิ้ว จากปลายนิ้ว แล้วใช้ตะไบจากมุมเล็บขึ้นสู่กลางเล็บ โดยฝนไปทางเดียวอย่างแผ่วเบา จนได้ความโค้งมนเท่ากันสองข้าง

2. เตรียมเล็บให้อ่อนละมุน ทา น้ำมันหรือมอยส์เจอไรเซอร์ไปตรงหนังฐานเล็บ (cuticle) ให้ชุ่มฉ่ำ แล้วแช่มือในน้ำอุ่น ที่ผสมน้ำมันมะกอก หรือนม สักหยดสองหยด อย่าผสมน้ำด้วยสบู่เหลว เพราะจะทำให้ผิว และเล็บแห้ง แช่ไว้ 2-3 นาที แล้วยกมืออก ซับให้หายเปียกแฉะ ใช้ปลายตะไบ หรือผ้าขนหนูหมาด ๆ ค่อย ๆ ผลักหนังฐานเล็บจนสุด แล้วใช้น้ำยาล้างสีเล็บ เช็ดน้ำมันออกจากเล็บให้หมดเกลี้ยง

3. ทารองพื้นเป็นแนวตรงกลาง โดย ลากแปรงจากฐานเล็บถึงยอดเล็บ แล้วจึงทาอีกสองข้างขนาบให้เต็มเล็บ รองพื้นช่วยตระเตรียมผิวเล็บให้เรียบ และป้องกันเล็บเหลือง ควรใช้ทุกครั้งที่ทาเล็บ และใช้เวลาทารองพื้นเสีย 2 รอบ สีจะติดดีขึ้นมากทีเดียว

4. ปาดแปรงสีทาเล็บไปกับปากขวด ใช้สีที่ติดแปรงอีกด้านหนึ่งทาเล็บด้วยวิธีเดียวกับทารองพื้น จุ่มสีใหม่ สำหรับอีกเล็บหนึ่ง ทาเล็บด้วยเทคนิคสามแถม ดีกว่าทาเป็นปื้นเดียว

5. ยาทาเล็บจะติดแนบแน่นดีกว่า บนพื้นผิวที่แห้งสนิท ดังนั้นอย่ารีบร้อน ทิ้งให้สีอยู่ตัวอย่างน้อยสองนาที ก่อนทาสีชั้นที่สอง ถ้าไม่ต้องการใช้สีเล็บเยินเร็ว ให้เวลาแห้งอย่างน้อย 30 นาทีก่อนใช้งาน

6. ทาน้ำยากันกะเทาะ (top coat) ทุกวันเว้นวัน เพื่อกันสีเล็บหลุดร่อน หรือทาซ้ำทุกวัน หากคุณต้องพาเล็บ ออกไปเจอะเจอกับรังสียูวีอยู่เสมอ รังสีร้ายนี้สามารถทำให้สีสวย ๆ ของเล็บดูเหลืองซีดได้

7. เช็ดรอยเปื้อนด้วยกระดาษเช็ดหน้า ห่อปลายคอตตอนบัดส์ ชุบในน้ำยาล้างยาทาเล็บ อย่าใช้คอตตอนบัดส์ โดยตรง เพราะขนของสำลีอาจหลุดติดเล็บที่ยังไม่แห้งสนิท

8. สาว ๆ สามารถป้องกันสีเล็บกะเทาะได้ด้วย การใส่ถุงมือยาง เวลา ทำงานบ้าน เพราะทุกครั้ง ที่คุณเอามือแช่ในน้ำล้างจาน น้ำซักผ้า หรือเปรอะเปื้อนน้ำยาเช็ดกระจก ฯลฯ เล็บจะดูดซึมเอาสารเคมีในน้ำยาเหล่านี้เข้าไป ทำให้เล็บแห้ง และหด แยกตัวจากชั้นสีที่ทา ทำให้กะเทาะง่ายขึ้น

9. ถ้าสีเล็บเริ่มเหลืองซีด หรือเป็นรอยกะเทาะมาก ลบออกให้หมดแล้วเริ่มใหม่ หรือลบไว้เฉย ๆ ก็ได้ เพราะถึงอย่างไร เล็บที่ไม่ทาสี ย่อมดูดีกว่าเล็บทาสีที่กระเทาะแน่นอน

10. ให้ความผ่อนคลาย และความพึงพอใจกับตัวเองนาน ๆ ที โดยไปให้ช่างทำเล็บให้ โดยเฉพาะเล็บเท้า
บัญญัติ 10 ประการดูแลสีเล็บสวย

น่าตกใจ หญิงสูงอายุไทยเป็นกระดูกพรุนถึง1ใน7

1 ใน 7 ของผู้หญิงไทยที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป...เป็นโรคกระดูกพรุน
น่าตกใจ หญิงสูงอายุไทยเป็นกระดูกพรุนถึง 1 ใน 7

1 ใน 20 ของคนที่เป็นกระดูกพรุน...เกิดกระดูกสะโพกหัก
1 ใน 6 ของผู้ที่เกิดกระดูกสะโพกหัก...จะเสียชีวิตใน 1 ปี
1 ใน 3 ของผู้ที่เกิดกระดูกสะโพกหัก...จะเสียชีวิตใน 5 ปี
ปัจจุบัน ในประเทศไทย มีผู้หญิงอายุตั้งแต่ 50 ปี ประมาณ 6.7 ล้านคน มีความชุกของโรคกระดูกพรุนถึงร้อยละ 13.6-19.8 โดยเฉพาะที่ภาคอีสาน (จ.ขอนแก่น) มีสูงถึงร้อยละ 19.3-24.7
มีการคาดการณ์ว่ามีผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนถึงประมาณ 1 แสนคนที่กระดูกสะโพก และมีถึง 1.3 ล้านคนที่เป็นกระดูกพรุนที่กระดูกสันหลัง!!
คาดว่าจะมีผู้ที่เกิดกระดูกสะโพกหักถึง 42,000 คน และจะมีผู้เสียชีวิตภายหลังกระดูกสะโพกหักถึง 7,140 คนภายใน 1 ปี
หากรอดพ้นการเสียชีวิต ก็จะมีโอกาสทุพพลภาพถึงขั้นเดินไม่ได้ถึงร้อยละ 22.1

ฟัง สถิติที่เกิดขึ้นในเมืองไทย เผยแพร่โดย รศ.นพ.ฉัตรเลิศ พงษ์ไชยกุล จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมูลนิธิกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย ว่าไว้อย่างนี้ดูน่ากลัวไม่น้อย บอกให้รู้ว่าผู้หญิงไทยเรายังเสี่ยงต่อกระดูกพรุนกันมากจนต้องรีบออกมาเตือน ให้หาทางระวังป้องกัน อันที่จริงโรคกระดูกพรุนสามารถเกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่ทราบหรือไม่คะว่าผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากกว่าผู้ชาย! เป็นเพราะเหตุใดกัน?
มีงาน วิจัยที่ศึกษาจนได้ข้อสรุปว่า ผู้หญิงมีต้นทุนทางกระดูกต่ำกว่าผู้ชาย คือ มีการสะสมเนื้อกระดูกไว้ได้น้อยกว่าผู้ชาย เหตุผลหลักๆ ที่มาสนับสนุนเรื่องนี้ได้แก่การที่ผู้หญิงมักจะ กลัวแดด มีโอกาสออกไปกลางแจ้งตากแดดน้อยกว่าผู้ชาย จึงทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีน้อย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในประเทศไกลจากเขตศูนย์สูตรจะยิ่งพบการขาดวิตามินดีจากแสง แดดมากขึ้น แถมผู้หญิงยังมีโอกาสออกกำลังกายน้อยกว่าด้วย ทำให้กระบวนการสร้างมวลกระดูกทำได้ไม่เต็มที่อย่างในผู้ชาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อถึงวัยที่มีการสลายมวลกระดูกมากกว่าการสร้างกระดูก จึงทำให้เนื้อกระดูกบางลงจนถึงระดับกระดูกพรุนได้เร็วกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิงจะมีการลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นกระบวนการที่เร่งให้มวลกระดูกสลายเร็วยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่ผู้ชายซึ่งมีโอกาสอยู่กลางแจ้งมากกว่า มีโอกาสออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวมากกว่า แถมไม่มีช่วงเวลาที่ฮอร์โมนเพศลดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ จึงทำให้ผู้ชายกระดูกพรุนช้ากว่าผู้หญิง
ด้วย เหตุนี้จึงพบว่าผู้หญิงวัยทองที่หมดประจำเดือนไปแล้วประมาณ 10-20 ปี เป็นโรคกระดูกพรุนกันมาก เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหัก โดยเฉพาะกระดูกข้อมือ กระดูกสันหลัง และกระดูกสะโพก ซึ่งมีโอกาสกระทบกระแทกแตกหักง่ายเป็นพิเศษ
อย่าง ไรก็ตามคุณผู้หญิงทุกคนสามารถป้องกันกระดูกพรุนได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่ารอจนถึงวัยหมดประจำเดือนแล้วค่อยคิดถึงเรื่องนี้เพราะมันอาจสายเกินไป สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสะสมแคลเซียมในกระดูกให้เพียงพออย่างสม่ำเสมอตั้งแต่วัยเด็กเรื่อยไปจน ถึงวัยหนุ่มสาว ซึ่งเป็นวัยที่ร่างกายจะมีมวลกระดูกหนาแน่นสูงที่สุด ร่วมกับการชะลอการสลายมวลกระดูกอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยการรับประทานอาหาร ที่มีแคลเซียมสูงพร้อมทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่มีคุณค่าต่อการสร้างเสริม กระดูก เช่น ผลิตภัณฑ์นมที่เสริมวิตามินเค วิตามินดี วิตามินซี แมกนีเซียม
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

สารและตัวยาที่ทำให้หน้าขาวใส

ทราบหรือไม่ว่า สารและตัวยาชนิดใดที่ทำให้หน้าขาวใส วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก
สารและตัวยาที่ทำให้หน้าขาวใส
ทราบหรือไม่ว่า สารและตัวยาชนิดใดที่ทำให้หน้าขาวใส วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก
กลูตาไธโอน
ลด การสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการเสื่อมของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้า ขาวสวยใส เปล่งปลั่งไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่นใต้วงแขน บริเวณขอบชุดชั้นใน ริมฝีปาก และบริเวณหัวนม ให้ขาวอมชมพู

สารสกัดจากเปลือกสน
ทำ ให้ผิวขาวใส โดยลดปฏิกิริยาของผิวหนังเมื่อถูกแสงแดด ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดขนาดและความเข้มของฝ้า กระและช่วยปรับสภาพผิวให้กลับขาวใสขึ้น เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้แรง

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
ใน เมล็ดองุ่นมีสารบางชนิด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้เนื้อเยื่อโครงสร้างผิวแข็งแรง ปกป้องเนื้อเยื่อโครงสร้างผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอย ลดความหยาบกร้าน หมองคล้ำ ทำให้ผิวใส เรียบเนียน

ชาเขียวสกัด
ปก ป้องและรักษาผิวจากการทำลายของมลภาวะ โดยเฉพาะแสงแดด ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิว ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ช่วยให้ผิวขาวขึ้น ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอย

โคเอนไซม์คิวเทน
ช่วย ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการเกิดริ้วรอย ด้วยการเร่งการผลิตคอลลาเจน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง

วิตามินซี
เสริม สร้างคอลลาเจน ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ลดการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยคงความแข็งแรงของผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและเผยผิวขาวเนียนสดใส

สารสกัดจากมะเขือเทศ
ลด รอยดำ และความหมองคล้ำจากผลกระทบโดยตรงหรือโดยทางอ้อมจากแสงแดด ลดการถูกทำลายของผิว ช่วยปกป้องจาการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย เสริมฤทธิ์กับชาเขียวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว

วิตามินอี
เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย

ซีลิเนี่ยม
ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำงานเสริมกับวิตามินซี และ วิตามินอี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครอยากมีผิวหน้าขาวใส ลองมองหาสารหรือตัวยาที่แนะนำมาใช้กันดูได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ตรวจก่อนแต่ง...

http://www.212cafe.com/freewebboard/user_board/pongpitaks/picture/00025_26.jpg



สำหรับคู่รักที่เตรียมจะลั่นระฆังวิวาห์ เชื่อได้เลยว่าต่างพากันหัวหมุนกับการเตรียมงาน จองโรงแรม ไหนจะสินสอดทองหมั้น หรือบางคนเลยไปถึงว่าจะไป honeymoon ที่ไหนดี แต่ไม่ว่าจะยุ่งกันแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่แพ้การตรวจเช็ดดีกรีความรักของคุณทั้งสองก็คือ การตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน (Medical checkup for couples)

หลายท่านอาจสงสัยว่า แล้วแตกต่างจากตรวจร่างกายประจำปีอย่างไร ? โดยปกติผลตรวจร่างกายที่คุณมี เป็นเพียงการตรวจร่างกายพื้นฐาน ได้แก่ Physical Examination โดยแพทย์ การตรวจปอดและหัวใจโดย X-ray ตรวจปัสสาวะดูการทำงานของไต ตรวจเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจระดับน้ำตาล ไขมัน ตรวจการทำงานของตับ ซึ่งผลตรวจเหล่านี้ก็จะบ่งชี้ได้ว่า ร่างกายของคุณมีความพร้อมสมบูรณ์เพียงใด

แต่สำหรับการตรวจร่างกายก่อนแต่งนั้น เป็นการตรวจความพร้อมของร่างกายก่อนแต่งงานรวมไปถึงการตรวจเพื่อป้องกันโรคทางพันธุกรรมชนิดต่างๆ หรือโรคที่สามารถถ่ายทอดได้โดยการมีเพศสัมพันธ์ผลการตรวจเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งสะท้อนถึงการให้กำเนิดทายาทตัวน้อยที่สมบูรณ์และแข็งแรงในวันข้างหน้านั่นเอง ทีนี้มาดูกันซิว่าการตรวจสอบที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง

  1. กรุ๊ปเลือด (Blood group)รวมทั้งการตรวจหมู่เลือด Rh negative ของฝ่ายหญิง ซึ่งหากตรวจพบ อาจส่งผลให้เกิดภาวะเลือดของแม่และลูกเข้ากันไม่ได้

  2. ธาลัสซีเมีย (Thalassemia)เป็นโรคโลหิตจางที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้สร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติ และแตกสลายเร็วกว่าที่ควร หากพบว่าทั้งคู่เป็นพาหะ การตั้งครรภ์อาจเสี่ยงต่อการแท้ง หรือหากมีชีวิตรอดอาจทำให้คุณภาพชีวิตของเด็กแย่ลง ต้องถ่ายเลือดไปตลอดชีวิต รวมไปถึงการมีสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง ติดเชื้อง่าย บางรายไม่มีอาการของโรคแต่ก็เป็นพาหะที่สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมไปยังลูกหลานได้

  3. โรคพร่องเอนไซม์ G-6-PDเป็นโรคพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ง่าย หากพ่อแม่มีความผิดปกติของพันธุกรรมนี้แล้วถ่ายทอดสู่ลูก จำเป็นต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงสารที่เป็นอันตรายต่อเม็ดเลือดแดง เช่น ยากลุ่มซัลฟา แอสไพริน ถั่วปากอ้า เป็นต้น

  4. เอดส์ (HIV)เป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตรายมาก เนื่องจากยังไม่สามารถป้องกันด้วยวัคซีนหรือรักษาให้หายขาดได้ และคงไม่ดีแน่หากพ่อหรือแม่ต้องจากลูกน้อยไปก่อนวัยอันควร

  5. ซิฟิลิส (VDRL)เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อแล้วไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจถ่ายทอดไปยังทารกในครรภ์ ทำให้ทารกตายในครรภ์หรือตายหลังคลอด ทารกที่รอดชีวิตอาจพบความผิดปกติได้เช่น ดั้งจมูกยุบ เพดานปากโหว่ ฟันหน้าเว้าแหว่ง แก้วตาอักเสบและอาจตาบอด เส้นประสาทฝ่อ หูหนวก สมองเสื่อม เนื่องจากเชื้อเข้าไปทำลายระบบประสาท

  6. ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)โรคนี้ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์และทางเลือด ทำให้มีการส่งผ่านจากแม่สู่ลูกได้ หากมีเชื้อไวรัสในร่างกายอาจมีโอกาสกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง โรคตับแข็ง และโรคมะเร็งตับอื่นๆ ก็ได้ ดังนั้นแพทย์อาจพิจารณาให้วัคซีนตับอักเสบ บี ร่วมด้วย

  7. หัดเยอรมัน (Rubella)เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส หากเป็นโรคนี้ในหญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการ ดังนั้นแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนหัดเยอรมัน รวมทั้งการฉีดวัคซีนบาดทะยัก (Tetanus) ก่อนการตั้งครรภ์ด้วย

ดังนั้นการตรวจร่างกายสำหรับคุณทั้งสองที่ตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่ด้วยกันจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากจะช่วยตรวจสอบว่าคุณมีความสมบูรณ์ทางร่างกายเพียงใดแล้วยังเป็นเครื่องชี้วัดความแข็งแรงของลูกน้อยอีกด้วย และแน่นอนว่าครอบครัวของคุณจะเป็นครอบครัวที่มีสุขภาพดีและมีความสุขอย่างที่คุณวาดฝันไว้นั่นเอง

10 เหตุผลดีๆ ที่ควรรับประทานอาหารทะเล


  1. อาหารทะเลเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด สถาบันมาตรฐานอาหารแนะนำให้รับประทานปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
  2. ปลาเนื้อขาวส่วนใหญ่มีไขมันต่ำ แคลอรี่ต่ำ ซึ่งในเนื้อปลา 100 กรัม มีไขมันน้อยกว่า 1 กรัม
  3. เนื้อปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  4. ปลาเป็นอาหารที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโอเมก้า -3 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของสมองในการสร้างสมาธิ
  5. โอเมก้า -3 มีฤทธิ์ในการต่อต้านการอักเสบ มีผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไขข้อ และโรคผิวหนัง
  6. โอเมก้า -3 ช่วยลดไขมันที่อุดตันในเส้นเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง
  7. เนื้อปลาอุดมไปด้วยวิตามินดี แคลเซียม ไอโอดีน และเซเลเนียมซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกาย
  8. โคเรสเตอรอลที่มีอยู่ในอาหารทะเล ไม่มีอันตรายต่อระบบความดันโลหิต
  9. ในขณะตั้งครรภ์ โอเมก้า -3 มีความจำเป็นในการพัฒนาดวงตาและเซลล์สมองของทารก
  10. โอเมก้า -3 ที่พบในเนื้อปลามีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าโอเมก้า -3 ที่พบในพืช
แหล่งข้อมูล Waitrose Ltd , London.

วิธีนวดฝ่าเท้าด้วยตัวเอง(Foot Massage)

ใครที่ชอบนวดฝ่าเท้าเพื่อผ่อนคลาย วันนี้เรามีวิธีนวดฝ่าเท้าด้วยตัวเองมาฝาก

วิธีนวดฝ่าเท้าด้วยตัวเอง
  • ล้าง เท้าให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง ทาโลชั่นเพื่อให้ความชุ่มชื้น และเพื่อช่วยให้การนวดไม่ติดขัด โดยระหว่างการทาโลชั่นให้กดน้ำหนักลงไปให้ทั่วบริเวณเท้าด้วย
  • ใช้มือจับเท้าข้างที่ต้องการจะนวดไว้
  • ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมืออีกข้างหนึ่งกดลงที่เนื้อของหัวแม่โป้งเท้า
  • ใช้นิ้วหัวแม่มือกดนวดที่หัวแม่เท้าขึ้นและลง ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง
  • ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับที่ตาตุ่ม แล้วกดนวดเป็นวงกลม
  • ใช้หัวแม่มือนวดตั้งแต่ตาตุ่มโค้งลงมาจนถึงส้นเท้าทั้ง 2 ด้าน
  • นวดบริเวณส้นเท้าแล้วค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาจนถึงข้อเท้า จำไว้ว่าให้นวดไปในทิศทางเดียว คือนวดขึ้น
  • ปิดท้ายการนวดด้วยการนวดบริเวณข้อเท้าอีกครั้งหนึ่ง



รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครอยากผ่อนคลายจากฝ่าเท้า สามารถนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

นอนตะแคงขวา ท่านอนที่ดีที่สุด

แพทย์ ศิริราช แนะท่านอนที่ทำให้หลับสบาย ตื่นขึ้นมาสดชื่น "นอนตะแคงขวา" ช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก บรรเทาอาการปวดหลัง ส่วนผู้ถนัดนอนตะแคงซ้าย อาจทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่ จึงควรกอดหมอนข้างพร้อมพาดขา ป้องกันขาชาจากการนอนทับเป็นเวลานาน


น.พ.ชนินทร์ ลีวานันท์ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า การ พักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1 ใน 3 ของอายุขัย ขณะนอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน และตื่นนอนด้วยความสดชื่น ไม่รู้สึกปวดเมื่อย

ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปคนเรานิยมนอนหงาย เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรใช้หมอนต่ำและต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ

อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงายไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผู้มีอาการปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย

สำหรับท่านอนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่นๆ คือท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน

ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร

ส่วนท่านอนคว่ำ เป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน
ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ

10 อันดับอาหารกระตุ้นอารมณ์รัก

หันมาหาการกระตุ้นอารมณ์แบบธรรมชาติในรูปของอาหารดูบ้าง
10 อันดับอาหารกระตุ้นอารมณ์รัก
ตะละแม่วีนัส
ถึงแม้โลกนี้จะมีไวอะกร้า โผล่ขึ้นมาให้ผู้ชายได้คึกคักและมีความหวังกับชีวิตอีกครั้ง แต่ไวอะกร้าก็ยังมีข้อจำกัดและมีผลข้างเคียงที่เสี่ยงพอสมควร ทำไมไม่ลองหันมาหาการกระตุ้นเซ็กส์แบบธรรมชาติในรูปของอาหารดูบ้าง ปลอดภัยและได้สารอาหารบำรุงสุขภาพด้วยค่ะ

อันดับ 10 แอสพารากัส
ถึงแม้หน่อไม้ฝรั่งจะทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นพิลึก แต่ก็มีชื่อเสียงในเรื่องการกระตุ้นอารมณ์เซ็กส์อย่างได้ผลทั้งชายและหญิง
วิธีเล่นสนุก คาบแอสพารากัสไว้ในปาก แล้วให้เขาค่อยๆแทะมันมาเรื่อยๆจนถึงปาก จากนั้นก็จูจุ๊บกันอย่างดูดดื่ม

อันดับ 9 แครอท
ชา วกรีกโบราณจะกินแครอทเพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนมีปาร์ตี้เซ็กส์ แครอทเป็นแหล่งวิตามินเอชั้นดี ถ้ากินดิบๆจะให้คุณค่ามากกว่าทำให้สุก เพราะความร้อนสามารถสลายวิตามินได้
วิธีเล่นสนุก ด้วยรูปทรงที่เป็นแท่งยาว สามารถใช้งานกับประตูหลังหรือทำเป็นดิลโด้ได้ ในกรณีที่กำลังคิดจะซื้อดิลโด้มาไว้ใช้งานสักอัน อาจทดลองใช้แครอทสวมถุงยางอนามัยแทน เพื่อหาไซส์ที่เหมาะกับเราก่อนตัดสินใจซื้อ

อันดับ 8 น้ำผึ้ง
ใน น้ำผึ้งมีละอองเกสรดอกไม้ซึ่งช่วยกระตุ้นอารมณ์เซ็กส์ได้เป็นอย่างดี อินเดียยุคโบราณใช้น้ำผึ้งพอกเจ้าหนูด้วยความเข้าใจผิดคิดว่า น้ำผึ้งช่วยให้เจ้าหนูขยายตัวใหญ่โตขึ้นมาได้
วิธีเล่นสนุก จุดเด่นของน้ำผึ้งคือความเหนียวหนืด ลองชวนกันเล่นซ่อนหาด้วยการแตะน้ำผึ้งไว้บนร่างกาย จากนั้นเอาผ้าผูกตาเขา แล้วให้เขาค้นหาน้ำผึ้งด้วยลิ้น

อันดับ 7 ลิ้นจี่
นอกจากอุดมด้วยวิตะมินแล้ว ลิ้นจี่ยังมีผิวสัมผัสที่ทำให้ปลายลิ้นรู้สึกเหมือนกำลังจิ๊จ๊ะอยู่กับน้องหนูซะด้วย
วิธีเล่นสนุก ใช้ปากคาบลิ้นจี่แล้วป้อนใส่ปากเขา ปล่อยให้เขาพริ้วลิ้นสนุกกับลิ้นจี่ให้ถ้วนทั่วทุกซอกหลืบของผลลิ้นจี่

อันดับ 6 Hummus
ฮัม มัสเป็นซอสจิ้มชนิดหนึ่งในอาหารกรีกซึ่งไม่ค่อยถูกจัดอันดับเป็นอาหาร กระตุ้นเซ็กส์บ่อยนัก ฮัมมัสทำจากถั่วสีน้ำตาลชนิดหนึ่ง น้ำมะนาว กระเทียมและซอสงา จึงอุดมด้วยคุณค่าทางอาหารมากมาย งาช่วยให้มีลูกง่าย กระเทียมเพิ่มพลังเซ็กส์ มะนาวอุดมด้วยวิตะมิน ถั่วมีไฟเบอร์สูงช่วยให้ลำไส้มีสุขภาพดี และดีต่อเซ็กส์ประตูหลังด้วย
วิธีเล่นสนุก ใช้นิ้วจิ้มฮัมมัสแล้วยื่นให้เขาลองลิ้มชิมจากปลายนิ้ว วิธีนี้จะให้ความรู้สึกวาบหวิวซาบซ่านมากๆ แถมยังทำในที่สาธารณะได้อีกด้วย

อันดับ 5 สตรอเบอร์รี่
เป็น ผลไม้แห่งความรักเพราะมีรูปทรงเหมือนหัวใจ แถมยังอุดมด้วยวิตะมินและมีรสชาติหอมหวาน บรรดาดาราหญิงในอุตสาหกรรมหนังโป๊มักขอให้ดาราร่วมแสดงกินสตรอเบอร์รี่ในคืน ก่อนถ่ายทำฉากออรัลเซ็กส์
วิธีเล่นสนุก นำสตรอเบอร์รี่ไปแช่ให้เย็นแล้วหั่นครึ่ง เอาด้านที่ถูกฝานมาถูเป็นทางไปตามเรือนร่างของเขา แล้วใช้ลิ้นอุ่นๆเลียตามไปด้วย จะให้ความรู้สึกเย็นจากผลสตรอเบอร์รี่และความร้อนจากปลายลิ้น

อันดับ 4 หอยนางรม
มี ตำนานกล่าวไว้ว่า คาสซาโนว่ากินหอยนางรมดิบ 50 ตัวทุกเช้าเพื่อความอึด หอยนางรมมีสังกะสีสูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อเซ็กส์มาก เพราะถ้าร่างกายขาดแคลนสังกะสีก็สามารถนำไปสู่ภาวะความต้องการทางเพศต่ำได้ สำหรับผู้ชายบางคนถ้าได้เห็นผู้หญิงกลืนกินหอยนางรมทั้งตัว จะรู้สึกว่าเธอคนนั้นคงกลืนกินน้ำรักของเขาได้อย่างมีความสุข
วิธีเล่นสนุก ความลื่นไหลตามธรรมชาติของหอยนางรมช่วยให้นำมาเล่นสนุกกับเกมไล่จับได้ โดยให้ฝ่ายหญิงหนีบขาไว้แน่น แล้วเอาหอยนางรมไปหยอดตรงหว่างขาอ่อน ปล่อยให้มันไหลลงไปเอง แล้วให้ฝ่ายชายพยายามกินมันให้ได้โดยใช้แค่ลิ้นเป็นอาวุธเท่านั้น

อันดับ 3 ช็อคโกแลต
ใน ช็อคโกแลตมีฟีนิลอะลานีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ช่วยให้ร่างกายคลายเครียด และรู้จักกันในชื่อว่า เอ็นโดรฟินส์ และยังเป็นตัวช่วยเพิ่มอารมณ์เซ็กส์ตามธรรมชาติอีกด้วย แต่ต้องกินในปริมาณน้อยเท่านั้น
วิธีเล่นสนุก ละลายช็อคโกแลตของโปรดไว้ในชามเพื่อให้มันนุ่มและอุ่น แต่อย่าให้ร้อนเกินไป และเพื่อป้องกันไม่ให้มันแข็งตัวกลับมาใหม่ให้เติมน้ำมันพืชลงไปด้วย จากนั้นเปลือยกายนอนลงอย่างผ่อนคลาย ใช้นิ้วจิ้มช็อคโกแลตแต้มไปตามจุดสยิววาบหวิวของเราที่เขามักละเลยหรือหลง ลืมไป ขั้นต่อมาคือการขอร้องให้เขาดูดและเลียช็อคโกแลตที่เราแต้มไว้ให้เกลี้ยง

อันดับ 2 แชมเปญ
การ ดื่มแชมเปญมากเกินไปไม่เป็นผลดีกับการนัวเนียกันแน่นอน แต่ถ้ารินมาสักแก้วแล้วจิบนิดๆหน่อยๆ จะช่วยคลายความเครียด และเปิดรับอะไรใหม่ๆ เช่น ลีลาเซ็กส์ใหม่ๆได้ง่าย
วิธีเล่นสนุก อมแชมเปญเย็นๆไว้ในปาก แล้วใช้ริมฝีปากอมส่วนหัวของเจ้าหนูไว้ ค่อยเลื่อนเข้ามาในปากช้าๆ ลึกเข้ามาเรื่อยๆ ให้เจ้าหนูเข้ามาสัมผัสกับแชมเปญเย็นๆ ความเปียกชื้นและฟองฟู่ของแชมเปญจะช่วยให้เขาสยิวซาบซ่านสุดๆ

อันดับ 1 คาเวียร์
คา เวียร์คือไข่จากปลาสเตอร์เจียนที่อุดมไปด้วยสารอาหารและแร่ธาตุที่เอื้อแก่ เซ็กส์ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนชื่นชมบูชาคาเวียร์คือราคาที่แพงหูฉี่ของมัน ใครที่เต็มใจจ่ายเงินเพื่อซื้อคาเวียร์มาเสนอสนองเราย่อมสร้างความปลาบปลื้ม ส่งผลให้อารมณ์ระอุเร่าร้อนขึ้นมาทันที
วิธีเล่นสนุก เอนตัวแล้วใช้สะดือเป็นภาชนะบรรจุคาเวียร์ หรือนอนราบลงไปแล้ววางช้อนที่มีคาเวียร์อยู่เต็มไว้ที่สะโพกด้านใน ข้อควรระวังคือ วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีขนยุบยั่บแถวหน้าท้อง...เห็นแล้วอาจหมดอารมณ์ เอาง่ายๆค่ะ

บัญญัติ 10 ประการ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

แนวทางการปฏิบัติตนที่ถูกต้อง สำหรับผู้ที่สนใจออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
บัญญัติ 10 ประการ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
ดร. ประวิตร เจนวรรธนะกุล
ปัจจุบันคนไทยมีความตื่นตัว ในเรื่องการออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพกันอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราหลาย ประการ เช่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบหัวใจและปอด ทำให้เราไม่เหนื่อยง่าย ทำงานได้มากขึ้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง (ได้แก่ มะเร็งลำไส้ ปอด ต่อมลูกหมาก เต้านม) โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน โรคอัมพาต และโรคอ้วน การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอจะช่วยให้เรามีชีวิตที่แข็งแรงและยืนยาว ขึ้น จึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนเริ่มต้นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกันเถอะ

ถึง แม้ว่าการออกกำลังกายจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายหลายประการ แต่ก็สามารถก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน โดยผลเสียมีตั้งแต่เล็กน้อย เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือเจ็บข้อต่อต่างๆ ภายหลังการออกกำลังกาย ไปจนกระทั่งถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องจากการออกกำลังกาย ซึ่งในระยะหลังเรามักจะได้ยินข่าวลักษณะนี้อยู่บ่อยๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า มีผู้ที่มีชื่อเสียงหลายคนเสียชีวิตในขณะออกกำลังกายอยู่ ดังนั้นผู้ที่คิดจะเริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อสุขภาพหรือว่าผู้ที่ออกกำลังกาย เป็นประจำอยู่แล้วก็ควรที่จะต้องป้องกันตนเองจากผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการ ออกกำลังกาย เพื่อที่การออกกำลังกายของท่านจะได้เป็นไปเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง

มีอยู่ด้วยกัน 10 ประการ หรืออาจเรียกว่า บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้ที่สนใจออกกำลังกาย ดังนี้คือ

ข้อที่ 1 สำหรับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนหรือเคยออกกำลังกายมาก่อนแต่หยุดออก กำลังกายไปนานแล้ว ควรถามตนเองว่า เคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือไม่ เคยมีอาการเจ็บหรือแน่นหน้าอกในขณะออกกำลังกายหรือขณะพักหรือไม่ เคยมีอาการวิงเวียนศีรษะ เสียการทรงตัว หรือเป็นลมหรือไม่ มีอาการเจ็บที่ข้อต่อหรือกระดูกอยู่หรือไม่ และเคยมีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิตสูงหรือไม่ ถ้าคุณตอบว่า ใช่ หรือ มี สำหรับคำถามดังกล่าวข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ขอแนะนำให้คุณไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเช็คร่างกายก่อนเริ่มต้นการออกกำลัง กาย ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

ข้อที่ 2 ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย โดยทั่วไปสำหรับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ การวิ่งจ็อกกิ้ง การเต้นแอโรบิก การเดินเร็วๆ หรือการเล่นกีฬาต่างๆ ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตามสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่ได้มีการออกกำลังกายเป็นประจำในอดีต หรือผู้ที่สงสัยว่าตนเองจะมีปัญหาเกี่ยวกับข้อเสื่อม การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่เหมาะสมคือ การว่ายน้ำ หรือการปั่นจักรยานอยู่กับที่ เพราะจะช่วยให้มีการกระแทกกันของข้อเข่าไม่มากเกินไปซึ่งจะช่วยลดปัญหาการ บาดเจ็บของข้อต่อและชะลอการเสื่อมของข้อด้วย

ข้อที่ 3 การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพนั้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งจ็อกกิ้ง การเต้นแอโรบิก หรือการปั่นจักรยานอยู่กับที่ก็ดี คุณควรจะออกกำลังกายจนรู้สึกเหนื่อยปานกลางเป็นระยะเวลานาน 20-30 นาทีต่อเนื่องกัน และทำเป็นประจำสม่ำเสมอประมาณ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือวันเว้นวัน การทำเช่นนี้จะเป็นการฝึกให้ระบบหัวใจและปอดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดี ขึ้น

ข้อที่ 4 สำหรับผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนหรือเคยออกกำลังกายมาก่อนแต่หยุดออก กำลังกายไปนานแล้ว ควรที่จะเพิ่มระยะเวลาของการออกกำลังกายอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เวลาร่างกายในการปรับตัวจะได้ไม่เกิดอันตรายหรือการบาดเจ็บขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเริ่มออกกำลังกายเป็นวันแรก คุณอาจออกกำลังกายนานเพียง 10 นาทีก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะยังไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไรก็ตาม ในการออกกำลังกายครั้งต่อไป คุณอาจเพิ่มการออกกำลังกายเป็น 12 นาที แล้วหยุด ค่อยๆ เพิ่มอย่างนี้จนกระทั่งคุณสามารถออกกำลังกายได้นาน 20-30 นาทีในที่สุด

ข้อที่ 5 ไม่ควรเริ่มต้นหรือหยุดออกกำลังกายแบบทันทีทันใด เนื่องจากระบบหัวใจและปอดอาจไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ ดังนั้นจึงควรมีการอบอุ่นร่างกายหรือที่เรียกว่า วอร์ม-อัพ (warm-up) ก่อนการออกกำลังกาย และการเคลื่อนไหวร่างกายช้าๆ หลังการออกกำลังกายหรือที่เรียกว่า คูล-ดาวน์ (cool-down)

ข้อที่ 6 ควรทำการอบอุ่นร่างกายก่อนการออกกำลังกาย เพราะการอบอุ่นร่างกายเป็นการเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังกล้ามเนื้อในส่วน ต่างๆ ของร่างกายที่ต้องทำงานในขณะออกกำลังกาย เพิ่มความยืดหยุ่นในกับกล้ามเนื้อและเอ็น และเป็นการเพิ่มการทำงานของระบบหัวใจและปอดอย่างช้าๆ ดังนั้นการอบอุ่นร่างกายจึงเป็นการเตรียมร่างกายให้พร้อมรับการออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยป้องกันอันตรายและการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นจากการออกกำลังกายได้ การอบอุ่นร่างกายสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการวิ่งเหยาะๆ ช้าๆ ประมาณ 10 นาที จากนั้นทำการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายช้าๆ อีกประมาณ 10 นาที การอบอุ่นร่างกายที่เพียงพอนั้น คุณควรรู้สึกเหงื่อออกเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเมื่อยล้า และเมื่ออบอุ่นร่างกายเสร็จแล้ว คุณควรทำการออกกำลังกายภายในเวลา 30 นาที เพราะผลของการอบอุ่นร่างกายจะอยู่ได้ไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น

ข้อที่ 7 ทำการเคลื่อนไหวร่างกายช้าๆ ภายหลังการออกกำลังกายเสร็จ ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ได้ ลักษณะการทำเหมือนกับการอบอุ่นร่างกายก่อนการออกกำลังกาย โดยการวิ่งเหยาะๆ เป็นเวลานาน 10 นาที และเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างช้าๆ เป็นเวลานาน 5 นาที

ข้อที่ 8 ควรดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนออกกำลังกาย ขณะออกกำลังกาย และหลังการออกกำลังกาย เพราะว่าการขาดน้ำจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากมาย เช่น ทำให้เป็นตะคริวหรือลมแดด นอกจากนี้ ยังทำให้หัวใจต้องทำงานหนักมากกว่าที่ควร ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอจึงมีความสำคัญมากสำหรับการออกกำลังกายเพื่อ สุขภาพ ข้อแนะนำสำหรับการดื่มน้ำ คือ ควรดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนออกกำลังกายประมาณ 45 นาที จากนั้นในขณะออกกำลังกาย ควรมีการดื่มน้ำครั้งละน้อยๆ ตลอดช่วงเวลาของการออกกำลังกาย และภายหลังการออกกำลังกายควรดื่มน้ำให้มากกว่าที่คุณคิดว่าคุณต้องดื่ม นอกจากเรื่องของการดื่มน้ำให้เพียงพอแล้ว เรื่องของอาหารก็มีความสำคัญ ควรรับประทานอาหารให้หลากหลายโดยมีสัดส่วนของอาหารจำพวกแป้ง ผักและผลไม้ มากกว่าอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ สำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อการควบคุมน้ำหนักตัว ควรลดการรับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่มีไขมัน สำหรับเนื้อสัตว์ที่รับประทานได้ในปริมาณมากๆ คือปลา รวมทั้งควรทานผักผลไม้ในปริมาณมากเช่นเดียวกัน

ข้อที่ 9 พึงระลึกอยู่เสมอว่าการออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่อร่างกายได้ถ้าขาดความระมัดระวัง

ข้อที่ 10 เมื่อเกิดการบาดเจ็บขึ้นแล้ว ควรทำการปฐมพยาบาลให้เร็วที่สุด การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ถูกต้องจะช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บลงได้มาก ทำให้การบาดเจ็บหายเร็วขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากได้รับบาดเจ็บแล้ว ไม่มีการปฐมพยาบาลหรือทำไม่ถูกต้องก็จะส่งผลให้การบาดเจ็บนั้นรุนแรงยิ่ง ขึ้นไปอีก ทำให้ใช้เวลาในการรักษานานเกินกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อคุณได้รับบาดเจ็บไม่ว่าจะเกิดจากการถูกชน กระแทก หกล้ม ข้อเคล็ด ข้อแพลง ในขณะออกกำลังกาย คุณไม่ควรฝืนออกกำลังกายต่อไป ควรหยุดออกกำลังกายทันที และนำถุงพลาสติกบรรจุน้ำแข็งมาประคบบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ควรนำยาที่ทำให้เกิดความร้อนมานวด หรือประคบด้วยความร้อน เพราะจะทำให้มีอาการบวมและอักเสบมากยิ่งขึ้นไปอีก การประคบด้วยน้ำแข็งควรทำนานประมาณ 20 นาที ทำซ้ำทุกวันวันละ 2 รอบ เช้า-เย็น เป็นเวลา 3-4 วัน ซึ่งถ้าเป็นอาการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรง อาการบาดเจ็บก็จะทุเลาหรือหายไปเองโดยไม่ต้องได้รับการรักษาใดๆ อีก แต่ถ้าอาการบาดเจ็บยังคงมีอยู่ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป

ถ้า คุณสามารถปฏิบัติได้ตามแนวทางทั้ง 10 ข้อดังที่ได้กล่าวมา เชื่อมั่นได้ว่าการออกกำลังของคุณจะเป็นไปอย่างที่คุณตั้งใจคือ การออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมให้สุขภาพดีขึ้นและไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ต่อตัวคุณ

ขอให้สนุกกับการออกกำลังกายนะครับ


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ประโยชน์ของส้ม

ทราบหรือไม่ว่า การกินส้มให้ประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย วันนี้เรามีประโยชน์ของส้มมาฝากกัน
ประโยชน์ของส้ม


จากรายงาน การศึกษาของหลายชาติ เรื่องการบริโภคผลไม้จำพวกมะนาว หรือส้ม ให้ประโยชน์แก่สุขภาพ สรุปได้ว่า "กินส้มวันละใบ จะช่วยผลักไสโรคมะเร็งบางชนิดให้พ้นตัวไปได้"

นักวิจัยขององค์การ วิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครือจักรภพของรัฐบาลออสเตรเลีย ระบุว่า การกินผลไม้พวกมะนาวหรือส้ม จะช่วยป้องกันมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และกระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง และยิ่งกินผักผลไม้วันละ 5 มื้ออยู่เป็นประจำแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้ป้องกันอัมพาตได้อีกโรคถึง 19 เปอร์เซ็นต์ด้วย

ผลไม้จำพวกมะนาวหรือส้ม ช่วยป้องกันโรคของร่างกายได้เพราะคุณสมบัติเป็นตัวล้างพิษของมัน พร้อมทั้งบำรุงระบบภูมิ คุ้มโรคให้แข็งแรง ขัดขวางเนื้อร้ายไม่ให้ลุกลาม และรักษาเซลล์เนื้อร้ายให้กลับคืนดีได้อีกด้วย

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรง ลองหาส้มมากินกันดีกว่า.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สเตมเซลล์-ความหวังใหม่ของการรักษาโรค

Stem Cell Therapy



http://doarai.com/wp-content/uploads/2008/10/mnewsimages_59863.jpg




ต้องยอมรับว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศไทย โดยเฉพาะในผู้ชายพบมะเร็งปอดมากที่สุด รองลงมาคือ มะเร็งตับ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่เจริญอย่างรวดเร็ว ทั้งความรู้ใหม่และยารุ่นใหม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งมากขึ้น รวมทั้งความรู้ในเรื่อง Stem cell ที่กำลังกลายเป็นความหวังใหม่ในการรักษาโรค


อย่างแรกขออธิบายก่อนว่าจริงๆ แล้ว Stem cell คืออะไร Stem cell ก็คือเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ต่างๆ ที่สำคัญของร่างกายได้ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์ประสาท เป็นต้น ด้วยคุณสมบัตินี้จึงทำให้วงการแพทย์สนใจนำ Stem cell มาใช้เพื่อรักษาโรคต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้เซลล์เกิดใหม่มากขึ้น


ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและถือว่าเป็นความสำเร็จของวงการแพทย์ก็คือ การทำ Stem cell therapy ในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว(Leukemia) ที่มีสาเหตุมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า Leukocyte ซึ่งสร้างจากไขกระดูกมีการเจริญเติบโตและทำงานผิดปกติ โดยปกติเซลล์เหล่านี้จะถูกปล่อยออกมาจากไขกระดูกแล้วเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุของการติดเชื้อ แต่เซลล์เหล่านี้กลับไปรบกวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ ดังนั้นวิธีการรักษาก็คือ การให้เคมีบำบัดเพื่อทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติเหล่านี้ก่อน จากนั้นจึงปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell transplant) หรือที่เรียกกันว่า การปลูกถ่ายไขกระดูก โดยการนำสเตมเซลล์ใหม่ใส่เข้าไปเพื่อให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดได้ตามปกติ ซึ่งสเตมเซลล์ที่ใช้ต้องทดสอบความเข้ากันได้กับเซลล์ผู้ป่วยก่อน นับว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการรักษาชีวิตผู้ป่วย


ในการบริจาค Stem cell นั้นโอกาสที่ผู้รับจะสามารถนำสเตมเซลล์ไปใช้ได้จริงมีเพียง 1 ใน 50,000 เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการเข้ากันได้ของเนื้อเยื่อ (HLA Typing) ทั้งผู้ให้และผู้รับบริจาคจะตรงกันมีความเป็นไปได้น้อยมาก การขึ้นทะเบียนผลเนื้อเยื่อเอาไว้จึงเป็นการเก็บผลตัวอย่างเนื้อเยื่อไว้ในฐานข้อมูล ซึ่งอาจมีการติดต่อในภายหลังหากผู้ที่ต้องการ Stem cell มีผลเนื้อเยื่อตรงกัน


หากมีผู้ป่วย 1 ใน50,000สามารถใช้ Stem cell ของคุณได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การเก็บ Stem cellก่อน ซึ่งการเก็บ Stem cell ในผู้ใหญ่มีด้วยกันสองวิธี คือ การเก็บโดยตรงจากไขกระดูกและการเก็บจากหลอดเลือด ซึ่งวิธีหลังอาจทำได้ง่ายกว่าและผู้บริจาคเจ็บตัวน้อยกว่าวิธีแรก โดยผู้บริจาคจะได้รับการฉีดยากระตุ้นเพื่อปลดปล่อย Stem cell ออกจากไขกระดูกมากขึ้น จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการเก็บโดยเครื่องที่จะคัดกรองเฉพาะ Stem cell เท่านั้น ขณะที่เลือดส่วนอื่นๆ จะกลับเข้าสู่ร่างกาย ด้วยเหตุนี้จึงแทบไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากการบริจาค Stem cell เลย ขณะที่ Stem cell ของผู้บริจาคนั้นสามารถสร้างขึ้นมาทดแทนได้ใหม่ภายใน 2-3สัปดาห์


สำหรับความสำเร็จของการใช้ Stem cell therapy ในปัจจุบันที่นอกเหนือจากการใช้รักษาความผิดปกติของโรคเลือด และโรคมะเร็งแล้ว ยังมีงานวิจัยในขั้น Preclinicในสัตว์ทดลองอีกหลายชิ้น ตัวอย่างเช่น การใช้ Stem cell เพื่อรักษาหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้มีภาวะของโรคตับแข็ง (Cirrhosis) การทดลองการซ่อมแซมเซลล์สมอง เซลล์ประสาทรับกลิ่นในหนู (Olfactory Glial Cell) และการเกิดแผลในไขสันหลัง (Spinal Cord Lesion) เป็นต้น ดังนั้นในอนาคตจึงเป็นไปได้ว่า โรคต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งอาจจะเรียกว่าไม่มีโอกาสหายได้เลยนั้นก็อาจมีแนวทางการรักษาให้หายขาดได้ในที่สุด


อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ได้เตือนว่า ในปัจจุบันการรักษาด้วยสเตมเซลล์ที่ได้รับการยอมรับมีเพียงโรคทางโลหิตวิทยาเท่านั้นเช่น มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งไขกระดูก เป็นต้น ส่วนการนำมารักษาโรคอวัยวะส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคไต หรือแม้กระทั่งการใช้สเตมเซลล์ในแง่ของการบำรุงผิวพรรณ (Anti-aging)ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาทั้งสิ้น ดังนั้นผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลอย่างครบถ้วนก่อนตัดสินใจ


Reference

1. Phenotypic Characterization of Mesenchymal Stem Cell, Biomedical Application of Proteomics


2. Stem cell in the spotlight, The University of Utah, Genetic Science Learning Center


3. คู่มือการบริจาคโลหิตและเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

สุขภาพของชายสูงวัยและการรักษาด้วยฮอร์โมน

เพศชายในวัยสูงอายุ ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปจะพบว่าฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญ ผลิตจากลูกอัณฑะ เริ่มปริมาณลดน้อยลง ทั้งนี้เพราะลูกอัณฑะเริ่มเสื่อมหน้าที่ในการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศชาย การเสื่อมหน้าที่จะค่อยเป็นค่อยไปตามอายุที่มากขึ้น นอกจากลูกอัณฑะจะสร้างฮอร์โมนเพศชายแล้วยังมีต่อมหมวกไตที่สร้างฮอร์โมนเพศชายที่เรียกว่า ดีไฮโดรอิพิแอนโตรสเตอโรน (Dehydroepiandrosterone) เรียกย่อ ๆ ว่า ดีเอช อี เอ (DHEA) ซึ่งจะลดลงไปเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้นเช่นกัน


การที่ฮอร์โมนเพศชายลดลงช้า ๆ อาจทำให้เกิดภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่องส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้ ดังนี้:


1) อาการทางระบบประสาทและจิตใจ: มีอารมณ์หงุดหงิด ซึมเศร้า ไม่มีสมาธิ หลงลืมง่าย ขาดความคิดริเริ่ม ขาดความเชื่อมั่นตนเอง นอนไม่หลับ ร้อนวูบวาบตามร่างกาย เหงื่อออกมาก อาการหงุดหงิด โมโหง่าย ทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ทั้งปัญหาครอบครัว หน้าที่การงาน


2) ระบบหัวใจและหลอดเลือด: ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด พบได้บ่อยเช่นกัน โดยเฉพาะในชายที่มีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น สูบบุหรี่ เป็นเบาหวานอยู่แล้ว อ้วน ขาดการออกกำลังกาย ไขมันในเลือดสูง


3) ภาวะโรคกระดูกพรุน: จะรู้สึกว่าตนเองเตี้ยลง กระดูกหักบ่อย


4) ความผิดปกติทางการได้ยิน-สายตา: เช่น ตาเป็นต้อกระจก ต้อหิน หูได้ยินไม่ดี


5) ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ: ปัสสาวะบ่อย ๆ ลำปัสสาวะเล็กลง ปัสสาวะเล็ดลาด ปัสสาวะไม่ออก เป็นต้น อาจมาจากสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะหรือต่อมลูกหมาก


6) หย่อนสมรรถภาพทางเพศ: พบว่าเกิดจากสาเหตุด้านร่างกายหรือด้านจิตใจ หรือทั้งร่างกายและจิตใจร่วมกัน รู้ได้อย่างไรว่าฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง โดยการสอบถามอาการต่าง ๆ ตรวจระดับฮอร์โมนในเลือดและการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมแต่ละบุคคล


การรักษาภาวะฮอร์โมนเพศชายบกพร่อง โดยการให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน มีทั้งในรูปการรับประทานวันละ 1-2 ครั้ง หรือฉีดยาเดือนละเข็ม หรือใช้ชนิดแปะผิวหนัง หรือทาผิวหนังก็ได้ การใช้ยาต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้วนี้ ทำให้ชายสูงวัยหลายท่านร้องขอการรักษาโดยใช้ฮอร์โมนเพศชายทดแทน ซึ่งมียาทั้งในรูปแบบยารับประทาน และยาฉีด รวมทั้งชนิดแปะที่ผิวหนัง ถึงแม้จะมีราคาแพงก็ตามแต่ดูว่ามีชายสูงอายุร้องขอให้แพทย์ทำการรักษาอยู่บ่อยครั้ง


แพทย์ผู้ดูแลในเรื่องนี้จึงใคร่ขอเตือนว่า มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเพศชายเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ นั้นอยู่ และข้อห้ามที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามให้ฮอร์โมนเพศชายทดแทนในชายสูงวัยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก เนื่องจากฮอร์โมนเพศชายสามารถกระตุ้นมะเร็งต่อมลูกหมากให้ลุกลามไปได้เร็วขึ้น อันนี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อย่าเข้าใจผิด ส่วนในรายที่มีอาการปัสสาวะลำบากจากต่อมลูกหมากที่โตมาก ๆ ถือเป็นข้อควรระวังเท่านั้น เพราะในบางรายอาจจะกระตุ้นให้คนไข้ปัสสาวะไม่ออกได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมแพทย์ที่ดูแลท่านทำการตรวจทางทวารหนักและในบางรายอาจจะตรวจเช็คระดับพีเอสเอ (Prostate Specific Antigen) ของท่านด้วยก่อนเริ่มให้การรักษา ระหว่างการรักษาแพทย์ก็จะทำการตรวจเช็คระดับฮอร์โมนเพศชาย ความเข้มข้นของเลือด รวมทั้งพีเอสเอ เป็นระยะ ๆ เพื่อความปลอดภัย


ดังนั้นท่านชายสูงวัยที่มีอาการต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ควรจะได้รับการตรวจเช็คระดับฮอร์โมนเพศชาย รวมทั้งเช็คมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งสามารถทำการตรวจเช็คได้ในโรงพยาบาลทั่ว ๆ ไป ทั้งจากศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะและแพทย์ทั่วไปได้ ขอให้ชายสูงวัยทุกท่านมีสุขภาพที่ดี ทำประโยชน์กับสังคมของเราได้นานเท่านาน

ผิวสะอาดใส สไตล์หนุ่ม

http://beautyanyway.tarad.com/shop/b/beautyanyway/img-lib/spd_20090305212157_b.jpg

หลายคนอาจจะสงสัยว่า สบู่ 1 ก้อนกับมีดโกนหนวดอีก1 อัน มันไม่พอสำหรับการดูแลรักษาผิวพรรณของบรรดาคุณผู้ชาย หรอกหรือ?หรือ ผิวผู้ชายอันแสนจะหนาแถมไร้ซึ่งความนุ่มนวลนั้น ยังจะต้องการการดูแลอีกเหรอ?คำตอบคือ ยังไงก็ต้องการ แถมยังมากไม่แพ้คุณผู้หญิงอีกด้วยเราลองมาดูกันว่าทำไม ถึงเป็นเช่นนั้น


ความจริงแล้วผิวของคุณผู้ชายนั้นมีความหนามากกว่าคุณผู้หญิงถึง20-30%แถมด้วยกลไกของฮอร์โมนเพศที่ทำให้ต่อมไขมัน ทำงานมากกว่าปกติ จึงทำให้ผิวของคุณผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวอุดตันได้ง่ายกว่าผิวของคุณผู้หญิงนั่นเอง แต่ความมันของ ผิวนั้นก็มีข้อดีตรงที่สามารถช่วยรักษาผิวพรรณของคุณผู้ชายให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะได้ยิน วลียอดฮิตที่ว่า“ผู้หญิงนั้นแก่ง่าย แต่…” มา นมนานทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่ผิวของคุณผู้ชายจะได้เปรียบเสมอไปหรอก เมื่อไม่นาน มานี้มีการทดลองความเป็นไปได้ในการเกิดมะเร็งผิวหนังในหนู โดยผู้ทดลองได้นำหนูทั้งตัวผู้และตัวเมียไปกำจัดขนออก จากนั้น ก็เอาไปตากแดดเป็นเวลา 3 ครั้งต่อสัปดาห์ติดต่อกัน6เดือน ผลก็คือ จำนวนหนูตัวผู้เป็นมะเร็งผิวหนังมากเป็นสองเท่าและมีการ เจริญของเซลล์ที่มีแนวโน้มของการเกิดมะเร็ง(Carcinoma) มากถึงสามเท่าของจำนวนหนูตัวเมียและสิ่งที่นักวิจัยค้นพบก็คือ ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่อยู่ในเซลล์ผิวหนูตัวผู้นั้นต่ำกว่าหนูตัวเมียอย่างน่าตกใจ การทดลอง ในครั้งนี้จึงบอกเป็นนัยๆ ว่า ผิวของสัตว์เพศผู้นั้นมีความไวต่อแสงมากกว่าของสัตว์เพศเมีย จึงทำให้มีโอกาส ในการเกิดมะเร็งผิวหนังได้สูงกว่าสัตว์เพศหญิงอย่างมีนัยสำคัญ (MD Medical News by Melanoma; April 2007)

พอมาถึงจุดนี้เราเชื่อว่า คุณผู้ชายทั้งหลายคงตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลและปกป้องผิวของคุณโดยเฉพาะ ในช่วงหน้าร้อน ที่แสงแดดเป็นตัวการทำลายผิวพรรณของคุณอยู่อย่างแน่นอน การดูแลผิวที่ดีนั้นเริ่มต้นด้วยล้างหน้าให้สะอาดวันละหนึ่งถึงสอง ครั้ง และรักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วย การทา Moisturizer ที่ช่วยเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงให้กับผิวของคุณ กรณีที่คุณ ต้องออกไปเผชิญกับแสงแดดจัดๆ คุณควรเลือก ใช้ Sun Block ทีมีค่าSPF 15 ขึ้นไปและสำหรับในหน้าร้อน ที่คุณมักจะเลือกกิจกรรมดับร้อนอย่างการไปว่ายน้ำ ไปตากอากาศชายทะเล หรือแม้แต่กิจกรรมเรียกเหงื่อใดๆ ก็ตาม ควรเลือกสูตร SunBlock ที่ไม่เหนียวเหนอะหนะ (Non-greasy) และเป็นชนิดกันน้ำ(Water Proof) นอกจากนี้ คุณผู้ชายควรรักษาสุขภาพด้านอื่นร่วมด้วย เช่น การมีอารมณ์ที่เบิกบานอยู่เสมอ การรับประทานอาหารที่มีคุณ ค่าทางโภชนาการ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะ ผักผลไม้ และธัญพืช รวมทั้งการพักผ่อนอย่าง พอเพียง ก็จะช่วยให้คุณผู้ชายทั้งหลายนั้นมีผิวพรรณที่ดีได้


สุดท้ายนี้แม้ว่าจะด้วยปัจจัยจากสภาพผิวของคุณผู้ชายเองหรือด้วยธรรมชาติของคุณผู้ชายที่อาจจะรู้สึกยุ่งยากกับการบำรุงผิวพรรณ แถมยังชอบกิจกรรม Outdoor เป็นอาจิณก็ตาม แต่การดูแลและปกป้องผิวของคุณสำหรับในยุคนี้นั้นอาจจะเป็นอีกเทรนด์ที่ ี่น่าสนใจ เพราะนั่นไม่ใช่แค่เรื่องของการมีผิวสวยหน้าใสอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงการปกป้องผิวของคุณ ให้ห่างจากโรค ภัยไข้เจ็บทั้งปวงอีกด้วย

พบสาวส่วนใหญ่อารมณ์เหวี่ยง ก่อนมีประจำเดือน ชี้ ขี้วีนรุนแรง คลุ้มคลั่งเสี่ยงซึมเศร้า



หมอชี้กว่า 90% พบสาวอารมณ์เหวี่ยง ขี้หงุดหงิด ก่อนมีประจำเดือน เพราะฮอร์โมนลด แนะกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตไฟเบอร์สูงช่วยรักษาน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เตือนอารมณ์แปรปรวนมาก ขี้วีนรุนแรง คลุ้มคลั่งเสี่ยงซึมเศร้า เข้าสังคมไม่ได้ กระทบชีวิตครอบครัว การทำงานต้องพบจิตแพทย์


วันนี้ (1 เม.ย.) ที่โรงแรมเจดับบิว แมริออท ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล คณะบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวใน “งานสตรีไทยห่างไกลวิกฤติทางอารมณ์ ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันกับ 24/4” ว่า กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome : PMS) คือ อาการทางกายและใจที่เกิดขึ้นกับหญิงวัยเจริญพันธุ์ในช่วงเวลา 5-10 วัน ก่อนมีประจำเดือน อาการจะดีขึ้นและหายไปหลังประจำเดือนมาแล้ว ซึ่งสาเหตุของอาการยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทางการแพทย์สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเพศในระหว่างรอบประจำเดือน คือ ฮอร์โมนจะลดต่ำลงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งความรุนแรงของอาการแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุเช่น ลักษณะการใช้ชีวิต ความเครียด และกรรมพันธุ์


“อาการ ก่อนมีประจำเดือนที่พบได้บ่อยๆ คือ คัดตึงเต้านม แขนหรือขาบวม ปวดศีรษะไมเกรน ท้องอืด น้ำหนักขึ้น อยากอาหารมากกว่าปกติ นอนไม่หลับ หรือนอนมากกว่าปกติ หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน ขาดสมาธิ เครียด วิตกกังวล แต่หากเป็นกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนชนิดรุนแรง (Premenstrual Dysphoric Disorder : PMDD) จะมีอาการของโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง กังวลมาก เครียดอย่างรุนแรง อารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตจนเข้าสังคมไม่ได้ บางรายอาการรุนแรงมากจนรู้สึกว่าจะคลุ้มคลั่ง ถือว่าเป็นโรคต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ด้วยการใช้ยาปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย หากอาการไม่ดีขึ้นจำเป็นต้องพบจิตแพทย์และใช้ยากล่อมประสาท รักษาอาการซึมเศร้า”ศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าว


ศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าวต่อว่า วิธีปฏิบัติสำหรับผู้มีอาการก่อนมีประจำเดือนสามารถทำได้ คือ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ฝึกสมาธิให้จิตใจสงบ พักผ่อนให้เพียงพอ บริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ เน้นคาร์โบไฮเดรตที่มีไฟเบอร์สูงมากขึ้น เช่น ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท เพราะอาการหารเหล่านี้ใช้เวลาย่อยนานกว่า ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดอาหารเค็มจัดหรือมีเกลือสูง ลดเครื่องดื่มกาเฟอีน แอลกอฮอล์ พักผ่อนอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด แต่หากยังไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ต่อไป


ด้านพญ.นันทา อ่วมกุล ผู้อำนวยการสำนักที่ปรึกษา กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข จากผลการสำรวจของสวนดุสิตโพล เรื่อง “ภาวะทางอารมณ์และประสบการณ์เกี่ยวกับกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนในสตรี” ระหว่างวันที่ 5-23 มีนาคม โดยทำการสำรวจกลุ่มนิสิต นักศึกษา สตรีวัยทำงานอายุระหว่าง 18-35 ปี จำนวน 1,057 คน แบ่งเป็นในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 503 คน ต่างจังหวัด จำนวน 554 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 91.20 มีอาการไม่พึงประสงค์ก่อนมีประจำเดือน ในจำนวนนี้กว่าครึ่ง หรือร้อยละ 51.87 มีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นประมาณ 2-3 อาการ อีก ร้อยละ 21.05 มีอาการไม่พึงประสงค์ถึง 4-5 อาการ โดยอาการที่เกิดมากที่สุดร้อยละ 19.24 คือ หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวนโดยไม่ทราบสาเหตุ รองลงมาร้อยละ 17.88 คือ อาการคัดตึงเต้านม ร้อยละ 8.22 อยากรับประทานอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งร้อยละ 51.94 จะมีอาการทุกเดือนก่อนมีประจำเดือน


“ปัจจุบัน สตรีไทยจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะเครียด หงุดหงิดและอารมณ์แปรปรวนมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ภาระหน้าที่ทั้งการงานครอบครัว เศรษฐกิจและสังคม ที่สำคัญคือ ความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายก่อนมีประจำเดือน ซึ่งก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ก่อนมีประจำเดือน แต่ส่วนมากไม่รู้จักและไม่ทราบว่าตัวเองมีอาการ”พญ.นันทา กล่าว


พญ.นันทา กล่าวต่อว่า กรมอนามัย ร่วมกับ ไบเออร์ เชริง ฟาร์มา จัดทำแบบทดสอบ “ร่างกายและอารมณ์” เพื่อหาคำตอบว่าอารมณ์หงุดหงิดหรือที่เรียกว่า “เหวี่ยง” มาจากอาการหรือนิสัย โดยใช้โค้ดลับ 24/4 คือ การสังเกตอาการผิดปกติ 24 อาการ เป็นเวลา 4 เดือน โดยการจดบันทึกและหากพบว่ามีอาการควรปรึกษาแพทย์ เช่น อาการคัดตึงเต้านม ปวดศีรษะไมเกรน เครียด อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยง่าย ซึมเศร้าและวิตกกังวลอย่างชัดเจน ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ จะเกิดก่อนมีประจำเดือนจึงถือว่าเป็นความผิดปกติทางฮอร์โมน โดยสามารถดาวน์โหลดคู่มืออารมณ์ดี 24/4 ได้ที่ www.24-4secret.com

อย่าให้แอลกอฮอล์เป็นเหตุ

http://www.thannews.th.com/images/2199/images/M1721994.jpg

เริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่มีแต่เสียงเพลงแห่งความรื่นเริง คละเคล้ากับสายลมหนาวที่ ี่กำลังจะพัดผ่านเข้ามาบรร ยากาศ เช่นนี้ก็คงจะไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่า ปาร์ตี้ท้าลมหนาวของหนุ่มๆ สาวๆ ทั้งหลายเป็นแน่หรืออย่างน้อย ก็ต้องมาสังสรรค์ฮฮากันตามเทศกาลลานเบียร์ซักหน่อยแน่นอนว่า พอมีเสียงเดนตรีมันๆที่มาพร้อมกับเพื่อนฝูงรู้ใจครบทีมเรียบร้อยแล้ว หากจะขาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่จะช่วยเพิ่มความอบอุ่น และเพิ่มดีกรีความสนุกสนานนั้นก็คงจะกระไรอยู่เป็นแน่

แต่สิ่งที่จะตามมาก็คือ คุณอาจจะมีอาการเมาค้างหลังตื่นนอนอย่างที่ใครๆ มักเรียกกันว่า อาการแฮงค์ (Hangover Headache) ซึ่ง มักจะมากับอาการปวดศีรษะแบบ ตื้อๆ แน่นๆ รู้สึกอ่อนเพลีย หวิวๆ และอาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วยซึ่งสาเหตุสำคัญนั้นก็คงหนีไม่พ้น เจ้าสิ่งที่คุณกรึ๊บเข้าไปเมื่อคืนซึ่งมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบหลักใน เครื่องดื่มนั้นฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ จะทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดและทำให้คุณสูญเสียน้ำขณะนอนหลับประกอบ กับการ พักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ก็จะทำให้คุณๆ มีอาการอย่างที่กล่าวมาง่ายขึ้น ซึ่งมันอาจจะกระทบ กับงานของคุณในวันรุ่งขึ้นได้ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากแนะนำวิธีการดีๆ ให้คุณสามารถออกไปปาร์ตี้ อย่างสนุกสนานแบบที่ไม่รบกวนงานประจำของคุณได้เลย



  • หลังจากคุณตื่นนอนขึ้นมา คุณควรดื่มน้ำหรือน้ำผักผลไม้สดที่ให้วิตามิน C และเกลือ
    แร่ในปริมาณสูงที่จะช่วยคืนความสดชื่นให้คุณอย่างรวดเร็ว

  • การรับประทานวิตามินบี รวมนั้นยังช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะหลังตื่นนอน และช่วย
    ฟื้นฟูการทำงานของระบบประสาทให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังช่วยทดแทน
    วิตามินบีที่สูญเสียจากการขับปัสสาวะอีกด้วย

  • นอกจากนี้การรับประทานแร่ธาตุโปแทสเซียม ซึ่งอาจอยู่ในรูปของเครื่องดื่มเกลือแร่
    ่หรือแร่ธาตุสกัดก็ตาม นั้นจะช่วยรักษาสมดุลของน้ำ และป้องกันการขาดน้ำอันเป็น
    สาเหตุของความอ่อนเพลีย

  • บางตำราที่แนะนำให้คุณชงน้ำผึ้งประมาณหนึ่งถึงสองช้อนโต๊ะกับน้ำอุ่นหลังตื่นนอน
    เพื่อช่วยลดอาการเมาค้างได้ เนื่องจากในน้ำผึ้งจะมีส่วนประกอบด้วยน้ำตาลโมเลกุล
    เดี่ยวที่คุณสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้ทันที จึงช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้อย่างรวดเร็ว
    และสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเกร็งบริเวณศีรษะและ คอร่วมด้วยนั้น การประคบน้ำแข็ง
    ที่ต้นคอ และท้ายทอย ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้

  • อย่างที่ทราบกันว่า แอลกอฮอล์มีผลต่อตับ ถ้าดื่มติดต่อกันเป็นเวลานานๆ แต่
    L-Glutathione หรือสารสร้าง Glutathione เช่น N- acetyl-L-Cysteine
    (NAC) สามารถช่วยคุณได้ ถ้าได้รับในปริมาณเพียงพอ จะทำให้เอนไซม์ชนิดนี้
    เพิ่มขึ้น ตับก็อาจจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น.



อย่างไรก็ตาม การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายของคุณในยามที่คุณอ่อนแอ ให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้เร็วกว่าคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ปัจจัย จากอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การมีภาวะอารมณ์ที่แจ่มใส และรู้จักดูแลร่างกายตัวเองให้เหมาะสมนั้นจึงเป็นสิ่งที่คุณควรใส่ใจมากที่สุด ซึ่งแม้คุณจะต้องอดหลับ อดนอนจากการออกไปเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ก็ตาม แต่คุณก็จะสามารถปรับร่างกายของคุณได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีอาการเจ็บ ไข้ได้ป่วยเป็นของแถมอย่างแน่นอน

กินให้ไม่อ้วน ได้ไม่ยาก !


กินให้ไม่อ้วน ได้ไม่ยาก !



เพื่อควบคุมน้ำหนักให้ได้ผลเราไม่แนะนำให้คุณงดมื้ออาหาร แต่ขอแนะนำให้คุณลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารดู

การได้กินของอร่อยๆ เป็นเรื่องสำคัญมากของชีวิต ได้ลิ้มรสอาหารถูกปาก ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ถึงแพงเท่าไหร่ ถ้าอร่อยซะอย่าง ราคาไม่เกี่ยง การหาความสุขด้วยการกินแบบนี้เชื่อว่าคงมีหลายคนเป็นเหมือนกันและปฏิเสธไม่ ได้ว่าเป็นความสุขชั้นเยี่ยมของชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นใครก็ตามที่ตามใจปากโดยมิอาจยับยั้งชั่งใจ ก็ไม่ต้องเสียใจภายหลังหากเป็นโรคอ้วน ครั้นจะกลับมาลดน้ำหนักลงก็คงลำบากเพราะความเชยชินกับการกินเท่าไรเท่ากัน


อาจจะไม่คุ้นเคยในเบื้องต้น แต่ถ้าพยายามชั่งใจทุกครั้งที่กินไม่นานคุณก็จะชิน และกลายเป็นนิสัยการกินที่ดีอย่างถาวร ตราบนั้นคุณก็สบายใจได้เรื่องน้ำหนักตัว


ตามปกติทั่วไปใน 1 วันคนเราวัยต่างๆ มีความต้องการชนิดและปริมาณของอาหาร ดังนี้คือ
1,600 กิโลแคลอรี สำหรับเด็กอายุ 6 - 13 ปี หญิงวัยทำงานอายุ 25 - 60 ปี ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
2,000 กิโลแคลอรี สำหรับวัยรุ่นหญิง - ชาย อายุ 14 - 25 ปี วัยทำงานอายุ 25 - 60 ปี
2,400 กิโลแคลอรี สำหรับหญิง - ชาย ที่ใช้พลังงานมากๆ เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน นักกีฬา
เทียบออกมาเป็นประเภทอาหารให้เห็นได้ชัดขึ้นตามตารางนี้


หมายเหตุ เลขใน() คือปริมาณแนะนำสำหรับผู้ใหญ่


การ ควบคุมน้ำหนักให้ได้ดี คือในแต่ละวันต้องควบคุมปริมาณการกินอาหารที่ให้พลังงานสูงแล้วเลือกกิน อาหารที่ให้พลังงานต่ำๆ แทน เพื่อไม่ให้ร่างกายได้พลังงานเกินความต้องการ เพราะพลังงานส่วนเกินนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คุณลองมาเลือกลดอาหารประเภทต่างๆ ตามนี้ดู...


ข้าว ข้าว 1 จานให้พลังงานประมาณ 250 กิโลแคลอรี (ประมาณ 2 ทัพพีครึ่ง) ถ้าลดข้าวมื้อละ 1 ทัพพีใน 1 วัน จะลดพลังงานได้ถึง 300 กิโลแคลอรี


เนื้อสัตว์ เลือกกินปลา เป็ด ไก่ ไม่ติดหนัง ดีกว่าเลือกหมูเนื้อล้วน เพราะเนื้อหมูมีไขมันแทรกแต่มองไม่เห็น


ผลไม้ เลือกกินผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ชมพู่ ฝรั่ง แตงโม มะม่วงดิบ พุทรา แคนตาลูป ดีกว่าผลไม้ที่หวานจัดให้พลังงานสูง เช่น ทุเรียน ขนุน ลำไย ลิ้นจี่


ผัก ควรเลือกกินให้มากเพราะให้พลังงานน้อย แต่ได้คุณค่าสารอาหารมาก มีเส้นใยอาหารมาก ผักบางชนิดทำให้อิ่มนาน การกินผักเยอะๆ ช่วยเพิ่มปริมาณอาหารให้ดูมาก แต่พลังงานนิดเดียว เหมาะมากสำหรับผู้คุมน้ำหนัก


น้ำมัน / กะทิ น้ำมันเพียง 1 ช้อนชา ให้พลังงานสูงถึง 45 กิโลแคลอรี ถ้าประกอบอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ ตุ๋น ยำ จะช่วยลดพลังงานจากการใช้น้ำมันปรุงได้มากทีเดียว อาหารทอดใช้น้ำมันอย่างน้อย 2 ช้อนโต๊ะ นั่นเกือบ 300 กิโลแคลอรี กะทิ 1 ถ้วยแกง จะมีหัวกะทิ 1 ช้อนโต๊ะ พลังงานเท่ากับไขมัน 2 ช้อนชา ถ้าเลือกกินแกงส้ม ต้มยำ แทนแกงกะทิ ก็ลดพลังงานได้กว่า 100 กิโลแคลอรี


น้ำตาล ขนมหวาน 1 ถ้วย หรือ 1 ชิ้น จะให้พลังงานได้ 120 กิโลแคลอรี แต่ถ้าเทียบกับผลไม้ ขนมหวานจะให้พลังงานเป็น 3-4 เท่า ยิ่งถ้ามีส่วนผสมของกะทิอยู่ด้วยก็บวกพลังงานเพิ่มเข้าไปอีก เลือกกินผลไม้แทนดีกว่า


เครื่องดื่ม น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่เรียกน้ำหนักได้โดยไม่รู้ตัว เพราะ 1 แก้วให้พลังงาน 20-60 กิโลแคลอรี


อาหารระหว่างมื้อ จริงๆ ไม่ควรกินบ่อยๆ เพราะลำพังอาหารมื้อหลักก็พอเพียง อาหารระหว่างมื้อ ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของแป้ง น้ำตาล ไขมัน เนย เช่น คุ้กกี้ ถ้ารวมเครื่องดื่มด้วยก็จะได้พลังงานไม่น้อยกว่า 200 กิโลแคลอรี ถ้าอดไม่ได้ให้เลือกผลไม้ชนิดที่ไม่หวานแทน จะได้พลังงานต่ำลง เพิ่มวิตามินและเกลือแร่ด้วย


จากข้อแนะนำในการเลือกชนิดอาหารแล้ว ครานี้คุณต้องลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัยการกินอาหารดูบ้าง




เทคนิคในการควบคุมพฤติกรรมการกินอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก


กินอาหารในที่ที่จัดเป็นกิจจะลักษณะเท่านั้น เช่น ในห้องอาหาร ที่โต๊ะอาหาร ไม่เดินกิน หรือซื้อของกินตามทาง ไม่หาของกินมาไว้ที่โต๊ะทำงาน ไม่กินขณะดูโทรทัศน์ ขณะอ่านหนังสือ หรือฟังเพลง ฯลฯ
กินอาหารให้ตรงเวลาและเป็นมื้อ ไม่กินจุบจิบ ไม่กินขนมขบเคี้ยว
เลือกภาชนะใส่อาหารที่มีขนาดเล็กลง
เวลาตักข้าวอย่าให้เป็นก้อน ควรซุยข้าวให้ร่วนก่อนตัก และอย่าตักอัดแน่น หรือพูนเกินไป
ก่อนกินอาหารให้ดื่มน้ำเย็น (ไม่ใช่น้ำอุ่น) ก่อนอาหาร 10 นาที ประมาณ 2 แก้ว
เคี้ยวอาหารช้าๆ และเคี้ยวให้ละเอียดทุกครั้งก่อนกลืน
เมื่อกินอาหารเสร็จให้ลุกจากโต๊ะอาหารทันที หรือเก็บอาหารที่เหลือเข้าที่ทันที
ไม่สำรองอาหารไว้ในที่เห็นได้ง่าย เช่น ไม่เก็บอาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปไว้ในห้องทำงาน หรือไม่วางขนมไว้บนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ เพื่อป้องกันการเผลอใจ
ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้ความหิวทวีคูณขึ้น และจะทำให้กินเพิ่มเป็นสองเท่า
ถ้าหิวให้ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่หวานช่วย
ไม่ควรกินอาหารก่อนนอน เพราะเมื่อไม่ได้ใช้พลังงานจะทำให้สะสมเป็นส่วนเกิน
งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ถ้างดไม่ได้ให้ลดลงมาครึ่งหนึ่งก่อน ถ้าสำเร็จแล้วค่อยลดลงอีกครึ่งหนึ่ง ทีนี้จะลดหรือเลิกดื่มต้องอยู่ที่ใจ
ถ้าต้องการลดน้ำหนักเพื่อลดหุ่น ให้ซื้อชุดสวยที่อยากใส่มาแขวนไว้เป็นแรงบันดาลใจ อาจได้ผลบ้าง


เทคนิค เหล่านี้เป็นเรื่องไม่ยากที่คุณอาจจะมองข้ามไปในชีวิตประจำวัน เพียงเพิ่มความระวังและคิดก่อนเลือกกินอาหารสักหน่อยก็จะช่วยให้คุณ คุมน้ำหนักได้ดีขึ้น ที่สำคัญคุณไม่ต้องอดอาหารทรมานตัวเอง แต่ยังได้อิ่มสบายท้องตลอดวันอีกด้วยค่ะ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วิธีนวดฝ่าเท้าด้วยตัวเอง

วิธีนวดฝ่าเท้าด้วยตัวเอง

ใครที่ชอบนวดฝ่าเท้าเพื่อผ่อนคลาย วันนี้เรามีวิธีนวดฝ่าเท้าด้วยตัวเองมาฝาก
  • ล้าง เท้าให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง ทาโลชั่นเพื่อให้ความชุ่มชื้น และเพื่อช่วยให้การนวดไม่ติดขัด โดยระหว่างการทาโลชั่นให้กดน้ำหนักลงไปให้ทั่วบริเวณเท้าด้วย
  • ใช้มือจับเท้าข้างที่ต้องการจะนวดไว้
  • ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมืออีกข้างหนึ่งกดลงที่เนื้อของหัวแม่โป้งเท้า
  • ใช้นิ้วหัวแม่มือกดนวดที่หัวแม่เท้าขึ้นและลง ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง
  • ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับที่ตาตุ่ม แล้วกดนวดเป็นวงกลม
  • ใช้หัวแม่มือนวดตั้งแต่ตาตุ่มโค้งลงมาจนถึงส้นเท้าทั้ง 2 ด้าน
  • นวดบริเวณส้นเท้าแล้วค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาจนถึงข้อเท้า จำไว้ว่าให้นวดไปในทิศทางเดียว คือนวดขึ้น
  • ปิดท้ายการนวดด้วยการนวดบริเวณข้อเท้าอีกครั้งหนึ่ง


รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครอยากผ่อนคลายจากฝ่าเท้า สามารถนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

กินดี...บทรักก็ดีด้วย


กินดี...บทรักก็ดีด้วย

มนุษย์เราให้ความสำคัญกับอาหารการกินมานาน และนับเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ขาดไม่ได้ จะชั่วดีมีจนอย่างไรก็ต้องกิน ไม่ว่าจะ กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อกิน กินดีอยู่ดี หรือ "กินได้กินดี"

มนุษย์เราให้ความสำคัญกับ อาหารการกินมานาน และนับเป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ขาดไม่ได้ จะชั่วดีมีจนอย่างไรก็ต้องกิน ไม่ว่าจะ กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อกิน กินดีอยู่ดี กินได้กินดี หรือกินบ้านกินเมือง โอ๊ะ! อันหลังคงไม่ดีแน่ เราอย่าไปสนใจมันเลย

มาเรื่องของเราดีกว่า จะเห็นได้ว่าระยะ 3-4 ปี ที่ผ่านมานี้ กระแสการกินเพื่อดูแลสุขภาพกำลังมาแรง ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเห็นว่าแทบทุกร้านอาหารมักจะชูประเด็นสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพ ว่ามีสรรพคุณช่วยในการเสริมสร้างให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งเรื่องอาหารจะว่าเป็นแฟชั่นก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะแฟชั่นมาเร็วไปเร็ว เปลี่ยนแปลงบ่อย แต่กับกระแสการกินเพื่อสุขภาพนั้น ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นและคงอยู่ได้นาน
และในหลายๆ สรรพคุณของอาหารนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เชื่อแน่ว่าหลายท่านคงให้ความสนใจ ก็คือสรรพคุณในเรื่องสุขภาพทางเพศนั่นเอง อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์เราให้ความสนใจมาแต่โบราณแล้ว ลองมาดูกันครับว่า มีอาหารอะไรบ้างที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพทางเพศ ซึ่งบางอย่างก็เป็นแค่อาหารพื้นๆ ธรรมดา ที่เราๆ ท่านๆ อาจนึกไม่ถึงเลยทีเดียว

อย่างแรกที่อยากแนะนำคือ กล้วย ผลไม้พื้นบ้านธรรมดาที่หาได้ง่ายๆ ตามตลาดและซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป อย่าดูถูกเจ้าผลไม้ดึกดำบรรพ์ผลสีเหลืองสวยนี้เป็นอันขาดเชียวนะ เพราะนอกจากแป้งและน้ำตาล ที่ให้พลังงานอย่างดีแล้ว กล้วยนั้นยังมีคุณประโยชน์ในเรื่องเซ็กส์ มากอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ในผลกล้วยอุดมไปด้วยแร่ธาตุ โปแตสเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท นอกจากนี้แล้วโปแตสเซียม ยังมีส่วนในเรื่องช่วยการทำงานของหัวใจ และความดันโลหิตให้เป็นปกติด้วย
นอกจากนี้แล้วกล้วยยังเป็นที่รวมของวิตมินบี 6 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำหน้าที่ของสารสื่อประสาทในสมองช่วยให้สมองสั่งการได้ดีขึ้นกล้วย เพิ่มความกระชุ่มกระชวย ช่วยคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ความเครียด ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะส่งผลทำให้เรื่องบนเตียงกับคนรักของคุณราบรื่นอีกด้วยกลับ มาจากที่ทำงานหรือออกไปเผชิญรถติดนอกบ้าน ลองรับประทานกล้วยสดแช่เย็นสักผล หรือจะสร้างสรรค์ทำเป็นเครื่องดื่มกล้วยปั่นเย็นๆ ซักแก้ว แล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นได้อย่างง่ายๆ เลยทีเดียว แต่ระวังเรื่องนมกับน้ำเชื่อมเพิ่มแคลอรีในมื้อเย็นนะครับจะกลายเป็นอ้วนไป

ต่อมาคือ มะเดื่อ ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณนั้น เชื่อกันว่ามะเดื่อ เป็นอาหารที่เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมาก ซึ่งจากความเชื่อนี้นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า ในมะเดื่อนั้นมีสารไนอะซีนอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าสารไนอะซีนตัวนี้จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบี ซึ่งไนอะซีนมีสารเคมีสองชนิดคือ กรดนิโคตินามิก และทริปโทแฟน เป็นวิตามินที่เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งไฮโดรเจน การลดปริมาณโคเลสเตอรอล ซึ่งทำให้ไนอะซีนเป็นสาระสำคัญ ในการช่วยในเรื่องระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย

ยัง... ยังไม่หมดแค่นั้นนะ อย่าดูถูกผลไม้ลูกเล็กๆ นี้เป็นอันขาด เจ้ามะเดื่อยังมีสาระสำคัญอีกอย่างนึงก็คือ แมกนีเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนต่างๆ (แน่นอนครับรวมถึงฮอร์โมนเพศด้วย) และยังช่วยในเรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกายด้วย ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลากิจกรรมของคุณกับคู่รักอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นคุณผู้ชายที่ต้องการเลือดไปเลี้ยงเจ้าหนูคู่กาย หรือแม้แต่เมื่ออัตราการหายใจที่ทั้งเร่ง เร็ว และแรง ในขณะที่ปฏิบัติการก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอาการหายใจไม่ทัน หรือหมดแรงสู้กระทันหันอีกต่อไป

หน่อไม้ฝรั่ง ผักชนิดนี้เรารู้จักกันเป็นอย่างดี หาซื้อง่าย เป็นส่วนประกอบในอาหารประจำวันของคนไทย นอกจากความอร่อยแล้ว คุณประโยชน์ในด้านสมรรถภาพทางเพศทำให้มองข้ามไปไม่ได้เลย เพราะในหน่อไม้ฝรั่งมีสารไนอะซีนซึ่งเหมือนกับมะเดื่อ และที่สำคัญโดยเฉพาะสำหรับคุณผู้ชาย คือ สารกลูตาไธโอน ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายชนิดในแง่ทำให้ผิวขาว แต่ในหน่อไม้ฝรั่งนั้น สารกลูตาไธโอนจะทำหน้าที่ร่วมกับวิตามินซีช่วยให้เสปิร์มตื่น คือทำให้เสปิร์มมีความตื่นตัวมากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการปฏิบัติการกระทั่งสู่การปฎิสนธิที่นี้คุณผู้ชายทั้งหลายหรือแม้แต่คุณภรรยาที่บ้าน ต้องหันมาให้ความสำคัญกับเจ้าผักฝรั่งสัญชาติไทยตัวนี้กันมากขึ้นแล้วนะครับ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ความเครียดทั้งจากการทำงานและสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน หรือแม้แต่ความร้อนจากการอบลูกอัณฑะอยู่ในกางเกงเป็นเวลานานๆ ล้วน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปริมาณและคุณภาพของเสปิร์มลดถอยลงเป็นอย่างมาก

ถั่วบราซิล อันนี้อาจไม่คุ้นเคยซักเท่าไหร่ แต่เจ้าถั่วเม็ดจิ๋วนี้มีความพิเศษอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว เพราะ ในถั่วบราซิลนั้น อุดมไปด้วยสารเซเลเนียม ซึ่งถือกันว่าเป็นแหล่งของเซเลเนียมชั้นยอดเลยทีเดียว
สาร เซเลเนียมนี้มีส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้เสปิร์มของคุณผู้ชายแข็งแรง และว่ายน้ำได้เร็วขึ้น โดยมีรายงานกล่าวอีกว่ายังช่วยเพิ่มจำนวนเสปิร์มให้มากขึ้นได้ด้วย นั่นหมายถึงโอกาสการมีลูกสูงขึ้นนั่นเอง
นอก จากนี้แล้วในถั่วบราซิล ยังมีวิตามินอี ช่วยให้ผิวของเจ้าเสปิร์มแข็งแรง และหลุดรอดจากการทำลายของอนุมูลอิสระภายในร่างกายของเราด้วย อันนี้ก็นับเป็นข่าวดีของคุณผู้ชายทั้งหลาย ที่คิดว่าเริ่มมีปัญหาหรือมีความเสี่ยงที่จะมีเจ้าตัวเสปิร์มน้อย ทางเลือกในการการบำรุงด้วยถั่วบราซิลก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียว

แครอท ไม่มีใครไม่รู้จัก ก็อย่างที่รู้ๆ กันก็คือ แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งแล้ว เจ้าสารเบต้าแคโรทีนนี้ ยังมีส่วนช่วยเรื่องเซ็กส์ด้วย ทั้งชายและหญิง
สำหรับ ผู้ชายนั้นสารเบต้าแคโรทีน มีส่วนช่วยให้ตัวเสปิร์มมีปริมาณมาก และแข็งแรงขึ้น สำหรับผู้หญิง เจ้าสารตัวนี้มีส่วนในการเสริมสร้างฮอร์โมนเพศตัวสำคัญ คือ โปรเจสเตอโรนทำให้สภาพผนังมดลูกมีความเหสมะสมในการฝังตัวของไข่ เห็นสรรพคุณแล้วเรียกได้ว่าได้ประโยชน์หลายสถานจริงๆ แถมกินได้ทุกเพศทุกวัน ไม่จำกัดจำนวน และไม่ต้องห่วงแคลอรีด้วยครับ

แอปพลิคอท มีขายตามซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ๆ เป็นลูกสีส้มๆ กลมๆ นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์ในการบำรุงสมรรถภาพทางเพศของคุณผู้หญิงอย่างไม่น่าเชื่อเลยที เดียว สาวๆ ที่กำลังจะเป็นเจ้าสาว และวางแผนที่จะเป็นแม่คนในเร็ววันอ่านไว้นะครับ แอปพลิคอทมีสารเบต้าแคโรทีนและแมงกานีสสูง ซึ่งสารสองตัวนี้ส่งผลให้ผู้หญิงเพิ่มโอกาสการปฏิสนธิได้สูงขึ้น คือคุณจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากขึ้นนั่นเอง เพราะสารทั้งสองตัวนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับร่างกาย ทำให้ร่างกายพร้อมรับการตั้งครรภ์ได้ดีขึ้น ถ้าร่างกายขาดแมงกานีส หรือได้รับไม่เพียงพออาจจะทำให้การทำงานของระบบสืบพันธุ์ผิดปกติได้ ทั้งยังก่อให้เกิดประจำเดือนมาไปเป็นปกติอีกด้วย

หอยนางรม หลายคนคงพอทราบมาบ้างนะครับว่าหอยนางรม เป็นอาหารที่เกี่ยวข้องกับสมรรถภาพทางเพศเพราะมีแร่ธาตุสังกะสีสูงนั่นเอง ซึ่งสังกะสีช่วยทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น เท่ากับช่วยเพิ่มโอกาสการมีลูกนั่นเอง นอกจากนี้สังกะสียังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต่อมลูกหมากบวมอักเสบ ซึ่งถ้าเกิดกับชายใดก็จะอาจมีผลกระทบต่อสมรรถภาพเพศได้เช่นกัน แต่ก็อย่าเพิ่งดีใจรีบสวาปามหอยนางรมเข้าไปหละครับ อ่านต่ออีกนิด... หอยนางรม นอกจากจะมีสังกะสีสูงแล้ว ยังมีโคเลสเตอรอลสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือสาเหตุที่ก่อให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดและหัวใจได้หากรับ ประทานมากเกินไป

นอกจากนี้ จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่าในหอยนางรมดิบนั้นอาจมีเชื้อโรค Vibrio Vulnificus ซึ่งมีอยู่ในแหล่งน้ำบางแห่ง ส่วนแหล่งน้ำในประเทศไทยนั้นยังไม่มีรายงานแน่นอนว่ามีการระบาดของเชื้อชนิด นี้หรือไม่อย่างไรก็ตามก็ระวังกันด้วยนะครับ เพราะถ้าอาหารเป็นพิษขึ้นมา นอกจากจะไม่ปึ๋งปั๋ง หมดเรี่ยวแรงแล้ว ยังต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มในโรงพยาบาลอีกก็เป็นได้

ปลาทะเล เป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก เพราะเป็นแหล่งโปรตีนและไขมันชั้นดีคือกรดโอเมกา 3 ซึ่งนอกจากจะช่วยบำรุงสมองแล้ว ที่สำคัญยังมีส่วนช่วยในเรื่องสมรรถภาพทางเพศได้ด้วยกรด โอเมกา 3 ในปลาทะเลเป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่สร้างสารคล้ายฮอร์โมนชื่อ พลอสตาแกลนดิน ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทในด้านการตอบสนองทางเพศ และเคยใช้เป็นสารที่ใช้ฉีดเฉพาะที่ในชายที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้ผนังเส้นเลือดคลายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ดีขึ้น ได้ ฟังประโยชน์ของโอเมกา 3 เพิ่มขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมารับประทานปลาทะเลให้มากขึ้น แทนเนื้อสัตว์อื่นๆ ดูนะครับ เพราะปลาเป็นอาหารที่ย่อยง่าย รับประทานเป็นมื้อเย็นก็ดีครับ กำลังสบายท้อง

อยากจะฝากข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศให้คุณผู้อ่านลองนำไปให้ในชีวิตประจำวันดูนะครับ
พยายาม ใส่ใจกับความเครียดของตัวเองและคนรักให้มากๆ เพราะเซ็กส์ที่ดีนั้นจะเกิดขึ้นได้ เมื่อทั้งสองฝ่ายรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด ไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป

อย่า ลืมอีกเรื่องที่สำคัญครับ....ต้องออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 3-5 ครั้งนะครับ เพราะร่างกายที่แข็งแรงนั้น จะทำให้คุณพร้อมสำหรับปฏิบัติการได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราบรื่น และที่สำคัญช่วยให้คุณจัดการความเครียดได้ง่ายๆ ด้วยครับ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

เพิ่มความสุขให้เรื่องรักด้วยการออกกำลังกาย

นอกจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ แล้ว ประโยชน์อีกทางหนึ่งที่เราส่วนใหญ่อาจมองข้ามไปคือ การออกกำลังกายสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศให้ดีขึ้น


ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการออกกำลังกายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจมีมากมาย หลายประการ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง (Chronic diseases) ชนิดต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง รวมถึงการเป็นอัมพฤกษ์ (Stroke) เป็นต้น นอกจากนี้การออกกำลังกายยังมีส่วนช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะกระดูก พรุนเมื่ออายุมากขึ้น คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบ การเผาผลาญของร่างกาย อันได้แก่ โรคเบาหวาน และ โรคอ้วนผิดปกติ (Obesity) เป็นต้น ส่วนประโยชน์ทางด้านจิตใจก็ส่งผลทำให้มีสุขภาพจิตดีขึ้น โดยช่วยลดความเครียด มีอารมณ์ดี และเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง นอกจากนี้การออกกำลังกายยังมีประโยชน์อีกมากมายหลายอย่าง ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
เพิ่มความสุขให้เรื่องรักด้วยการออกกำลังกาย

เพิ่มประสิทธิภาพทางเพศได้ด้วยการออกกำลังกาย

มีความสามารถในการปฏิบัติภารกิจในระยะเวลานานขึ้น บ่อยครั้งขึ้น และที่สำคัญจะช่วยให้ถึงจุดสุดยอด (orgasm) ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และมีความทนทานดีขึ้นจากการออกกำลังกายแบบ weight training ระบบการหมุนเวียนของเลือดที่ส่งไปเลี้ยงตามส่วนต่างๆ ของร่างกายดี ซึ่งมาจากการออกกำลังกายแบบ aerobic exercise โดยที่ผู้ชายจะมีเลือดหมุนเวียนและไปเลี้ยงที่บริเวณอวัยวะเพศ ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว (erection) ได้ดี และนานขึ้น

ถ้า เป็นคนที่มีปัจจัยเสี่ยงทำให้อวัยวะเพศอ่อนตัว (erectile dysfunction) การออกกำลังกายสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงนี้ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งยาช่วยเลย ครับ นอกจากนี้ใครที่เคยประสบกับการหลั่งเร็วผิดปกติ หรือที่เรียกว่า ล่มปากอ่าว การออกกำลังกายก็สามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน ในผู้ชายการออกกำลังกายยังมีผลทำให้ระดับของฮอร์โมนเพศ หรือ Testosterone เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้เหมือนกัน นอกเหนือจากนี้การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะทำให้เรามีรูปร่างดี ในผู้ชายก็จะมีกล้ามเนื้อแข็งแรงได้สัดส่วน ไม่มีไขมันส่วนเกิน ในผู้หญิงก็เช่นเดียวกันจะมีสัดส่วนและส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามอง ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ และความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อเพศตรงข้ามด้วยครับ

หลักการออกกำลังกายในผู้ชาย

หลัก การออกกำลังกายโดยทั่วไปแล้วก็ไม่แตกต่างจากการออกกำลังกายตามปกติ โดยที่ความหนักของการออกกำลังกายในลักษณะ Aerobic exercise จะอยู่ที่ระดับปานกลาง อาจใช้ความรู้สึกของตัวเราเองเป็นตัวกำหนด หรือใช้อัตราการเต้นของหัวใจที่ระดับ 65-75% ของ maximum heart rate โดยที่ maximum heart rate = (220 - อายุ) และใช้เวลาในการออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง สามารถออกกำลังกายได้ 3 - 4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยอาจจะใช้วิธีการวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ เป็นต้น
ถ้า เป็นการออกกำลังกายแบบ weight training ให้ใช้น้ำหนักที่สามารถยกได้ 12-15 ครั้งใน 1 เซต และออกกำลังกายท่าละ 1-2 เซต โดยเน้นกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง สะโพก ก้น หลังส่วนล่าง รวมไปถึงกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ และต้นแขน จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แต่ถ้าต้องการเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ (endurance training) ให้ลดความหนักของ weight ลงมา โดยน้ำหนักที่ใช้ต้องสามารถยกได้ประมาณ 20 ครั้งต่อเซต ในคนส่วนใหญ่จะมีการตึงตัวของกล้ามเนื้อหน้าขาที่ใช้ในการงอข้อสะโพก (เนื่องจากนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน) ซึ่งอาจทำให้เป็นตะคริวได้ ดังนั้นในช่วงของการออกกำลังกายควรต้องมีการยืดกล้ามเนื้อส่วนนี้ร่วมด้วย

หลักการออกกำลังกายในผู้หญิง

วิธี การออกกำลังกายในผู้หญิงก็จะใช้หลักการเดียวกันกับผู้ชาย ทั้งการออกกำลังกายแบบ aerobic exercise และ weight training ซึ่งจะได้ประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน การที่มีเลือดไหลเวียนบริเวณอวัยวะเพศเพิ่มมากขึ้นจะทำให้เกิดมีสารหล่อลื่น เพิ่มมากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันการทำงานของระบบประสาทก็จะดีขึ้น ทั้งในแง่การรับรู้ความรู้สึก ความไวต่อความรู้สึกมากขึ้น จะช่วยให้ผู้หญิงมีความสุข และพึงพอใจขณะปฏิบัติภารกิจด้วยครับ

นอก เหนือจากการออกกำลังกายตามปกติดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่า Kegels exercise ซึ่งเป็นการออกกำลังกายคล้ายๆ กับการกลั้นปัสสาวะ ทำค้างเอาไว้ประมาณ 10 วินาที โดยยังคงหายใจตามปกติ (อย่ากลั้นหายใจในขณะที่ทำ) แล้วปล่อยตามสบาย ทำสลับกันเช่นนี้อย่างน้อยประมาณ 5 นาทีอย่างต่อเนื่อง หรือทำให้ได้ประมาณ 100 ครั้งต่อวัน ในการทำ Kegels exercise นี้อาจทำร่วมกับการออกกำลังกายในท่า Bridging ในลักษณะนอนหงายชันเข่าทั้งสองข้าง แล้วค่อยๆ ยกสะโพกขึ้น แล้วในช่วงระหว่างยกสะโพกขึ้นให้ทำ Kegels exercise ไปพร้อมๆ กัน

แต่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรระวังในเรื่องของการออกกำลังกาย คือควรทำในระดับความหนักที่เหมาะสม ไม่หักโหมจนเกินไป เพราะการออกกำลังกายมากจนเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียต่อทั้งสภาพร่างกายและจิต ใจได้ บางคนออกกำลังกายหนักจนเกินไปในที่สุดแล้วก็จะรู้สึกอ่อนล้าจนไม่อาจปฏิบัติ ภารกิจได้ หรือมีความต้องการและความรู้สึกทางเพศลดลง ในบางคนอาจมีอาการอ่อนตัวของอวัยวะเพศไปเลย และร่างกายก็จะมีการผลิตเสปิร์มลดน้อยลง ซึ่งรวมถึงคุณภาพของเสปิร์มก็ลดลงไปด้วย

ส่วน ผู้หญิงก็อาจมีอาการล้า และความต้องการลดลงเช่นเดียวกับผู้ชาย อาจพบว่ามีประจำเดือนมาไม่ปกติ หรืออาจจะเกิดการขาดประจำเดือนไปได้เหมือนกัน ดังนั้นจึงควรได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์ที่สามารถให้คำแนะนำในการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมกับคุณแต่ละคนได้ นะครับ

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today