เสริมวิตามิน-เกลือแร่เลี่ยงอัลไซเมอร์และโรคเรื้อรัง



โรค อัลไซเมอร์เป็นโรคหนึ่งที่ ยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ และยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่แท้จริง การศึกษาที่ผ่านมาพบว่าโรคนี้เกิดจากการลดลงของสารสื่อประสาทชื่ออะเซติลโค ลีน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารนี้ช่วยให้มนุษย์มีความสามารถในการจำ การป้องกันจึงเป็นหนทางเดียวในการปกป้องความทรงจำอันมีค่าให้ห่างไกลจากโรค อัลไซเมอร์


ในงานเสวนาทางการแพทย์ "ปฏิวัติโภชนาการ เพื่อชีวิตใหม่ อ่อนวัย ห่างไกลโรค" จัดโดยไวเอท คอนซูเมอร์ เฮลธ์แคร์ มีการเผยแพร่ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ว่า การได้รับวิตามิน บี 1 บี 6 บี 12 วิตามินซี และกรดโฟลิกร่วมกันในปริมาณที่เหมาะสม จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้มากกว่าร้อยละ 50


ผล การวิจัยดังกล่าวเปิดเผยโดย ศ.เจฟฟรี่ บี บลูมเบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยด้านสารต้านอนุมูลอิสระ ศูนย์วิจัยโภชนาการมนุษย์และการเปลี่ยนตามวัย มหาวิทยาลัยทัฟส์ สหรัฐอเมริกา (Tufts University) การ ได้รับวิตามินต่างๆ อย่างพอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์เท่า นั้น แต่ยังรวมถึงโรคเรื้อรังร้ายแรงอื่นๆ เช่น:


- การได้รับวิตามินบีรวมติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ร้อยละ 25

- ส่วนวิตามินที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามิน อี เบต้าแคโรทีน สังกะสี และทองแดงนั้น หากกินร่วมกันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาท ตาเสื่อม และต้อกระจกได้ร้อยละ 20-25

- การได้รับวิตามินรวมติดต่อกันเป็นเวลา 15 ปี จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้สูงถึงร้อยละ 80


ศ. น.พ.สุรัตน์ โคสุมินทร์ หัวหน้าหน่วยโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า คนไทยมีอัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง จาก การสำรวจของสำนักที่ปรึกษา กรมอนามัย พบว่าคนไทยทุกเพศทุกวัยจำนวนมากได้รับวิตามินและเกลือแร่ต่ำกว่าที่ร่างกาย ต้องการตามมาตรฐานปริมาณสารอาหารที่แนะนำในแต่ละวันเพิ่มมากขึ้น


การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายนั้นมี 2 ข้อด้วยกัน คือ:

1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ

2. ผลิตภัณฑ์วิตามินเกลือแร่รวมนั้นต้องมีปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

0 comments: