ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้

ธรรมชาติได้สร้างให้ร่างกายมนุษย์มีระบบล้างพิษตามธรรมชาติที่ดีที่สุด
ล้างพิษลำไส้ใหญ่ กากใยอาหารจากธรรมชาติช่วยคุณได้
ปัจจุบันคำว่า ล้างพิษ กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนติดตามและสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อม ทำให้พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปจึงพยายามหาแนวทางที่ จะคืนความสดชื่นและการมีสุขภาพที่ดีให้แก่ร่างกายให้เร็วที่สุด อันเป็นที่มาของกระแสการล้างพิษ ที่แบ่งออกเป็นวิธีล้างพิษแบบธรรมชาติโดยการกินผักและผลไม้เพื่อให้ได้กากใย มากๆ และวิธีล้างพิษแบบฝืนธรรมชาติอย่างการกินยาระบายหรือสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีที่ยังไม่มีการยืนยันทางการแพทย์ว่าปลอดภัย และได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ
จากกระบวน การทำงานของตับ ไตและลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่กำจัดของเสียจากอาหารที่เรากินเข้าไปด้วยการ ขับถ่ายอุจจาระทุกวัน และสิ่งสำคัญที่จะเสริมให้การล้างพิษตามธรรมชาติของลำไส้ใหญ่มีประสิทธิภาพ คือ เส้นใยอาหาร ที่ร่างกายได้รับจากการกินอาหารประเภทข้าวกล้อง ธัญพืช โฮลวีท ข้าวโอ๊ต ถั่ว ผักและผลไม้ เป็นต้น
แต่ ในความเป็นจริง หลายคนอาจกินไม่ได้ตามที่ร่างกายต้องการทุกวัน ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก เกิดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ และถ้าเป็นเรื้อรัง ก็เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ทั้งนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว หลายคนพึ่งวิธีการกินยาระบายและการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีที่อยู่ในผนังลำไส้ใหญ่ ที่ทำหน้าที่คุ้มครองและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดที่ก่อ ให้เกิดโรค ดังนั้นหากสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อยเกินไปเท่ากับว่า เรากำจัดจุลินทรีย์ชนิดดีนั้นออกไปด้วย ผลก็คือ จะทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น และทำให้สูญเสียสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย สรุปว่าอาจเป็นทางเลือกที่เร็วและเห็นผลทันที แต่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
ดัง นั้นการล้างพิษด้วยการกินเส้นใยอาหารจากผักและผลไม้ หรือสำหรับคนที่มีปัญหาการกินผักและผลไม้ อาจเลือกผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติที่มีการแปรรูปและสะดวกต่อการกิน ยกตัวอย่างเช่น เส้นใยอาหารที่ได้จากเมล็ดและเปลือกแพลนตาโก้ ในรูปแกรนูลซึ่งสามารถพองตัวในลำไส้ใหญ่ได้ถึง 7 เท่า เพิ่มปริมาณกากอาหารเป็นก้อนในลำไส้ใหญ่ ทำให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว เพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ลดปริมาณสิ่งหมักหมมในลำไส้ใหญ่ เป็นการล้างพิษลำไส้ใหญ่โดยวิธีธรรมชาติ จะส่งผลดีต่อสุขภาพองค์รวมมากกว่า เพราะได้เส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ถึง 2 ชนิด นั่นคือ เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (water insoluble fiber) และเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ (water soluble fiber) ซึ่งควรได้รับอัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 60:40 เนื่องจาก...
  • เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ จะพองตัวและอุ้มน้ำไว้ได้มากกว่าปริมาตรของตัวเองหลายเท่า ช่วยเพิ่มปริมาตรกากอาหารในลำไส้ ไม่ให้อุจจาระแห้งและแข็ง ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายและสบายขึ้น ไม่มีสิ่งหมักหมมค้างในลำไส้ใหญ่
  • เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ จะถูกย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่อย่างช้าๆ ทำให้เกิดกรดไขมันชนิดสายสั้น (Short-chain fatty acid) ได้แก่ อะซิเตท โพรพิโอเนท และบิวทีเรท ซึ่งสารบิวทีเรทจะทำให้ค่า pH ในลำไส้ลดลงต่ำ มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคและลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

สรุปแล้ว การล้างพิษที่ดีที่สุด คือ การล้างพิษตามธรรมชาติจากการกินอาหารที่สด ปรุงสะอาดมีกากใยสูงและมีคุณค่าต่อร่างกาย ควบคู่กับการดื่มน้ำ 6-8 แก้วต่อวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนและทำจิตใจแจ่มใส และอาจใช้ผลิตภัณฑ์เส้นใยอาหารธรรมชาติเสริม ในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย


ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

บัญญัติ 5 ประการในการเผาผลาญ




ผู้หญิงจำนวนมากประสบปัญหา บริโภคอาหารแต่พอประมาณเหตุไฉนรูปร่างยังเพิ่มพูนด้วยส่วนเกินนำมาซึ่งความสงสัยว่า อาจเกิดจากระบบการเผาผลาญในร่างกายของเราทำงานไม่ดีพอ ซึ่งก่อนสรุปควรต้อง รู้ข้อมูลว่า การเผาผลาญคืออะไร และ มีปัจจัยอะไรบ้างที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญ ได้ดีและรวดเร็วยิ่งขึ้น



พญ.ซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อิน เตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด กล่าวถึงการทำงานของระบบการเผาผลาญใน ร่างกายว่า “เป็นกระบวนการทางเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกายที่ทำให้คนเราสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทำให้เราหายใจ มีการสูบฉีดโลหิต ส่งเสริมระบบการทำงานของสมอง และเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน”


“แต่ถ้าเราพูดถึงอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานขั้นพื้นฐานในร่างกายของคนเรา ก็จะหมายถึงจำนวนแคลอรีที่ร่างกายเราใช้ไปในแต่ละวันและระหว่างที่เรานอนหลับ เพื่อสนับสนุนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย”


พญ.ซูซาน อธิบายว่า อัตราการเผาผลาญมีความสัมพันธ์โดยตรงกับโครงสร้างและรูปร่างของคนเรา ไขมันในร่างกายจำนวน 1 ปอนด์ หรือ 0.454 กิโลกรัม สามารถเผาผลาญได้ประมาณ 2 แคลอรีในแต่ละวัน คนที่รูปร่างผอมบาง ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันจำนวน 1 ปอนด์ได้ถึงวันละ 14 แคลอรี แท้จริงแล้วร่างกายที่ผอมบางนั้นมีกล้ามเนื้อเป็นองค์ประกอบหลัก



ในตอนท้าย ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ ให้คำแนะนำว่า หนึ่งในวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมัน คือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่งด้วยการบริหารกล้ามเนื้อ พร้อมทั้งบริโภคอาหารที่มีโปรตีนในปริมาณมากเพียงพอนั่นเอง นอกจากนี้ยังเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย 5 ประการ ซึ่งยังเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน


“เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้การเผาผลาญแคลอรีลดลง” ข้อมูลถูกต้อง-เมื่อเราอายุมากขึ้น น้ำหนักตัวมักเพิ่มขึ้นตาม เนื่องจากออกกำลังกายน้อยลง ส่งผลให้การเผาผลาญแคเลอรีในแต่ละวันลดลงร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อลดลง ร่างกายจึงเริ่มมีรูปร่างหนาขึ้น อัตราการเผาผลาญพลังงานลดลง ดังนั้นการบริหารกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด เพื่อให้มีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น รวมทั้งการออกกำลังกายเพื่อเสริมกล้ามเนื้อจะช่วยควบคุมการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักที่เกิดจากวัยที่สูงขึ้นได้เป็นอย่างดี


“ระบบการเผาผลาญแคลอรีในร่างกายของเรา ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้” ข้อมูลถูกต้อง-เรามักพบว่า บางคนแสนจะโชคดี รับประทานอาหารได้ตลอดโดยน้ำหนักตัวไม่เพิ่ม ซึ่งอาจมาจากการเลือกบริโภคเพื่อสุขภาพและให้แคลอรีต่ำ หรืออาจเคลื่อนไหวร่างกายมากและตลอดเวลา เช่น ลุกจากโต๊ะเพื่อยืดเส้นยืดสาย หรือเดินไปหารือกับเพื่อนร่วมงานแทนการใช้อีเมล ดังนั้นหากต้องการให้ร่างกายเผาผลาญมากขึ้น เพียงเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อใช้กล้ามเนื้อมากขึ้น จะช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานได้ดี


“อาหารหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าอาหารร้อน หรืออาหารที่อุณหภูมิระดับเดียวกับอุณหภูมิห้อง” ข้อมูลถูกต้อง-ผลจากการปฏิบัติการทดลองพบว่า การเผาผลาญแคลอรีของผู้บริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มเย็นจะเพิ่มขึ้น เพียงเล็กน้อย (เพิ่มขึ้นวันละประมาณ 10 แคลอรี) ไม่มีผลต่อการ ทำให้น้ำหนักตัวลดลงเลย


“การลดการบริโภคแคลอรี ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญช้าลง” ข้อมูลถูกต้อง-ตามธรรมชาติร่างกายคนเราทำหน้าที่เก็บรักษาแคลอรีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การลดการบริโภคแคลอรีจะทำให้แคลอรีที่สะสมในร่างกายลดลง ส่งผลให้อัตราการเผาผลาญแคลอรีลดลง แต่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง จะทำให้น้ำหนักตัวน้อยลง ไม่ส่งผลกระทบต่อการเผาผลาญในร่างกายได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ คู่กับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายมีอัตราการเผาผลาญแคลอรีตามปกติ


“เมื่องดบริโภคอาหารตอนกลางคืนจะทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานช้าลง และทำให้ลดน้ำหนักได้มากขึ้น” ข้อมูลถูกต้อง-การหยุดบริโภคหลังจากมื้ออาหารปกติจะส่งผลให้มีน้ำหนักตัวลดลง เนื่องจากการบริโภคทำให้แคลอรีโดยรวมลดลง ไม่ใช่เกิดจากการบริโภคทำให้แคลอรีลดเร็วกว่าเดิม ดังนั้นการบริโภคเพื่อให้ได้รับแคลอรีก่อนพระอาทิตย์ตกดิน จึงไม่มีผลให้ลดน้ำหนักเร็วขึ้น เว้นแต่บริโภคอาหารที่มีแคลอรีในปริมาณน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย.

คุมเบาหวานอย่างไรไม่ให้อ้วน

โรคเบาหวานในประเทศไทยส่วนมากเกิดจากเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป

คุมเบาหวานอย่างไรไม่ให้อ้วน
พ.อ.หญิง รศ.พญ.อัมพา สุทธิจำรูญ รพ.พระมงกุฎเกล้า
โรคเบาหวานในประเทศไทยส่วนมากเกิดจากเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป แต่ขณะนี้พบว่าเด็กอ้วนเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ มีรายงานเด็กอายุเพียง 8 ขวบเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
เบา หวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน คือร่างกายมีระดับอินซูลินเพียงพอหรือสูงกว่าปกติ แต่เซลล์ของร่างกายไม่ตอบสนองต่อระดับอินซูลินที่มีอยู่ ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะมีน้ำหนักตัวเกิน หรืออ้วน คือ มีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) เท่ากับหรือมากกว่า 23.0 และ 25.0 กิโลกรัมต่อตารางเมตรตามลำดับ

วิธีการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ควรเริ่มด้วยการควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย
โดยให้ได้เกณฑ์ดังนี้ ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารข้ามคืนควรมีค่าน้อยกว่า 130 มิลลิกรัม/ เดซิลิตร และค่าน้ำตาลในเลือดสะสมเอวันซี (Hb A1C) ควรมีค่าน้อยกว่า 6.5%

การ ควบคุมอาหารในผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มีหลักง่ายๆ คือ รับประทานอาหารให้ตรงมื้อหรือตรงเวลาในปริมาณที่เหมาะสม รับประทานแต่พออิ่ม ไม่ควรเสียดายอาหารเหลือ ควรงดหรือลดอาหารรสหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม และอาหารที่มีรสมัน เนื่องจากผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 มักจะมีระดับไขมันในเลือดผิดปกติร่วมด้วย ถ้าผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ยังติดในรสหวาน ควรใช้น้ำตาลเทียมทดแทนการใช้น้ำตาลทราย น้ำตาลเทียมเป็นสารที่ให้รสหวานแต่ให้พลังงานน้อย ได้แก่ แอสปาแทม (aspartame) ซูคราโลส (sucralose) เป็นต้น ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ข้าวแป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ นม และควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6-8 แก้ว นมเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพเนื่องจากให้สารอาหารและแคลเซียม ถ้ามีระดับไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ ควรดื่มนมพร่องไขมัน หากดื่มนมแล้วมีอาการท้องเสียให้งดดื่มได้ เนื่องจากลำไส้ของคุณไม่มีสารเอ็นไซม์ย่อยนม ผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ควรเลือกรับประทานผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น มะม่วง มื้อละครึ่งลูกทั้งชนิดสุกหรือดิบ หรือ 1 ใน 4 ส่วนของมะม่วงลูกโตๆ ส่วนข้าวเหนียวมูลที่รับประทานกับมะม่วงนั้น รับประทานได้วันละ 2-3 คำพอหายอยากก็เพียงพอ เพราะว่ามีกะทิและให้พลังงานมาก จะทำให้อ้วนได้

นอก จากนี้ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออกกำลังกาย โดยการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ของร่างกาย ออกกำลังกายให้หนักและใช้เวลานานเพียงพอที่ทำให้การทำงานของหัวใจและปอดดี ขึ้น ควรทำอย่างสม่ำเสมอคู่ไปกับการควบคุมอาหาร จะช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาเพียงพอที่จะไปออกกำลังกายแบบแอโรบิค การทำกิจวัตรประจำวันให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินจากที่จอดรถไปที่ทำงานให้ได้วันละ 10 นาที การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ เช่น ต้องขึ้นลิฟต์ไปที่ทำงานชั้น 10 ก็ควรออกจากลิฟต์ที่ชั้น 5 และเดินขึ้นบันไดไปอีก 5 ชั้น เป็นต้น วิธีการเหล่านี้เป็นการช่วยเผาผลาญพลังงานที่คุณได้รับสะสมในร่างกายได้อีก ทางหนึ่ง
การออกกำลังกาย หรือการมีกิจกรรมเคลื่อนไหวของร่างกายควรทำให้ได้อย่างน้อย 150 นาทีหรือ 2 ชั่วโมงครึ่ง/สัปดาห์ ถ้าคุณทำอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการควบคุมอาหาร โดยลดพลังงานที่รับประทานให้ได้วันละ 500 กิโลแคลอรี รับรองว่าคุณสามารถลดน้ำหนักตัวได้อย่างน้อยครึ่งถึง 1 กิโลกรัม/สัปดาห์เป็นแน่

อย่างไรก็ตามถ้าทำทั้ง 2 อย่างแล้วคุณยังควบคุมโรคเบาหวานไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อใช้ยารักษาเบาหวานที่เหมาะสมต่อไป

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้มีวิธีมาบอกค่ะ
วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น

เพียงเท่านี้ก็ลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าได้แล้ว.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

น้ำผึ้ง ส่วนผสมของความงาม

ลองมาทำเครื่องประทินผิวสูตรบำรุงผิวพรรณและเส้นผมอย่างง่ายๆ จากน้ำผึ้งกันค่ะ
น้ำผึ้ง ส่วนผสมของความงาม
นาน นับศตวรรษแล้วที่น้ำผึ้งถือเป็นเครื่องสำอางชั้นเยี่ยมในการดูแลรักษาผิว พรรณและเส้นผม แม้แต่คลีโอพัตรา ก็ยังอาบน้ำนมผสมน้ำผึ้ง และยังมีหญิงสาวในยุคโบราณใช้น้ำนมในการทาผิวหน้าเพื่อคงความอ่อนเยาว์ไว้ ชั่วกาลนาน ต่อมาในราวปีค.ศ.1800 วงการเครื่องสำอางก็เริ่มนำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะผสมในเครื่องสำอางบำรุงผิว ครีมพอกหน้า ครีมนวดผม และครีมอาบน้ำ
น้ำผึ้งประกอบด้วย น้ำประมาณ 20 % น้ำตาลชนิดต่างๆ 79% กรดชนิดต่างๆ 0.5% โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และเอนไซม์ 0.5% นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ ในน้ำผึ้ง ได้แก่ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามิน บี5 วิตามิน บี12 ไบโอติน เหล็ก ทองแดง แมงกานิส ซิลิคอน แคลเซียม โซเดียม โปตัสเซียม ฟอสฟอรัส อะลูมิเนียม กำมะถัน คลอรีน โบรมีน

ประโยชน์ของน้ำผึ้งมีมากมาย ได้แก่ ใช้เป็นเครื่องสำอางถนอมผิว แก้อ่อนเพลีย บำรุงร่างกาย ให้ความสดชื่น ใช้ปรุงอาหารต่างๆ ปรุงยาสมุนไพร หรือใช้ดองพืช ผัก ผลไม้ไม่ให้เน่าเปื่อย ใช้สมานแผลสดและผิวถูกไฟไหม้ให้หายเร็วขึ้น เพราะน้ำผึ้งมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านจุลชีพ

น้ำผึ้ง ... ครีมบำรุงธรรมชาติ
น้ำ คือส่วนประกอบสำคัญของผิว ซึ่งจะทำให้ผิวมีความนุ่มชุ่มชื่นมีความยืดหยุ่นอยู่เสมอ แต่ผิวหนังจะเริ่มแปรเปลี่ยนไปตามอายุขัยของคนเรา รวมทั้งสภาพแวดล้อมและการได้รับสารเคมีต่างๆ จึงทำให้ผิวสูญเสียการเก็บกักน้ำไป ทำให้ผิวแห้งและเกิดริ้วรอย ทั้งนี้น้ำผึ้งมีสรรพคุณในการเป็นตัวกักเก็บน้ำที่ให้ความชุ่มชื้นไว้กับผิว เป็นตัวต้านความระคายเคือง จึงเหมาะมากสำหรับคนที่มีผิว sensitive และผิวเด็ก ดังนั้นน้ำผึ้งจึงเป็นส่วนสำคัญของเครื่องสำอางหลากหลายที่ให้ความชุ่มชื้น กับผิว ทั้ง cleansers ครีมแชมพูและครีมนวดผม
นอก จากนี้ยังมีงานวิจัยที่พัฒนาในการใช้น้ำผึ้งในการสร้าง alpha Hydroxy Acids (AHAs) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพราะน้ำผึ้งจะช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น เช่นเดียวกับที่น้ำผึ้งเป็น Antioxidants โดยมีการศึกษาพบว่าน้ำผึ้งมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ธรรมชาติ จึงสามารถปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากรังสียูวี ที่เป็นสาเหตุให้ผิวแก่ก่อนวัยและมะเร็งผิวหนัง อายุขัย และช่วยฟื้นฟูผิว เนื่องจากสารเคมีบางชนิดในผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด อาจทำให้ผิวคันได้ จึงมีการใช้น้ำผึ้งเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิวจากแสงแดด
ลองมาทำเครื่องประทินผิวสูตรบำรุงผิวพรรณและเส้นผมอย่างง่ายๆ จากน้ำผึ้งกัน

ครีมอาบน้ำอ่อนโยน
หลัง จากอาบน้ำจนตัวสะอาดแล้ว ให้เทน้ำผึ้ง 1/4 ถ้วย ลงไปในน้ำเพื่อให้มีกลิ่นหอมและให้ความนุ่มชุ่มชื่นผิว แล้วอาบผิวโดยไม่ต้องล้างออก ซับให้แห้ง

ครีมบำรุงผม
ปรุง สูตรบำรุงผมด้วยตัวคุณเองโดยใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา เทลงไปในน้ำอุ่น 4 ถ้วย (1 ควอร์ท) และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน สูตรนี้ให้ใช้หลังจากสระผมแล้ว โดยนำน้ำผึ้งผสมมะนาวมาเทลงบนเส้นผม นวดให้ทั่ว โดยไม่ต้องล้างออก ปล่อยให้เส้นผมแห้งตามธรรมชาติ คุณจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มมีน้ำหนักมากขึ้นของเส้นผม

ครีมพอกหน้า
  • ผสม น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับ นมสด 2 ช้อนชาเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาทาผิวหน้าและคอให้ทั่ว ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ มะนาว 1 ช้อนชา และเนื้ออะโวคาโดสุก 1 ผล นำส่วนผสมทั้งหมดมากวนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกใบหน้าเว้นบริเวณรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น
โลชั่นบำรุงผิว
ผสม น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันพืช 1 ช้อนชา และน้ำมะนาว ¼ ช้อนชา จากนั้นนำมาถูมือ ข้อศอก ส้นเท้า หรือบริเวณที่ผิวแห้ง จากนั้นทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวที่เคยแห้งแตกก็จะสมานกันนุ่มเนียนขึ้น

ครีมขัดผิวหน้า
ผสม น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เข้ากับอัลมอนด์ป่น 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว ½ ช้อนชา จากนั้นนำมาขัดผิวหน้าเบาๆ อย่างอ่อนโยน จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น ผิวจะนุ่มเนียนเรียบขึ้น แต่การขัดผิวหน้าไม่ควรทำบ่อยครั้ง 1-2 สัปดาห์ต่อครั้งก็เพียงพอ

ครีมพอกกระชับผิวหน้า
นำ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ขาว 1 ฟอง กลีเซอรีน 1 ช้อนชา และแป้ง ทั้งหมดนำมาปั่นให้เข้ากัน ซึ่งส่วนผสมทั้งหมดจะได้ประมาณ ¼ ถ้วย จากนั้นนำมาทาผิวหน้าและลำคอ ที่สำคัญคุณอย่าลืมเว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

น้ำผึ้งถือเป็นสมุนไพร ธรรมชาติที่หาง่ายในบ้านเรา แถมมีคุณภาพดี สูตรปรนนิบัติผิวพรรณต่างๆ ที่แนะนำคุณมาเป็นสูตรที่แสนง่าย ไม่ต้องใช้ส่วนผสมมากมายให้ยุ่งยาก แต่ให้ผลดีที่คุณจะสัมผัสได้ ลองดูสิค่ะ...
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยแอปเปิ้ล

ทราบหรือไม่ว่า แอปเปิ้ลที่ทานกันเป็นประจำ สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก
เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยแอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลที่ทานกันบ่อย ๆ นอกจากจะมีรสชาติที่อร่อยหวานกรอบแล้วนั้น ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยมอบความชุ่มชื้นสู่ผิว ทำให้ผิวแลดูสดใสขึ้น เหมาะกับผิวหน้าที่กร้านแดดกร้านลม

วิธีทำ คือ นำแอปเปิ้ลมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแอปเปิ้ลออก แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอประมาณ แล้วนำไปปั่นในเครื่องปั่นพร้อมผสมนมสดแช่เย็นลงไปเล็กน้อย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากัน แล้วนำส่วนผสมนี้มาพอกหน้าแล้วนวดคลึงเพียงเบา ๆ ประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นจึงใช้นมสดเย็น ๆ ล้างผิวหน้า และตามด้วยการล้างหน้าตามปกติ

ถ้าอยากมีผิวหน้าชุ่มชื้น ลองนำแอปเปิ้ลมาพอกหน้ากันดูได้.



ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วิธีกำจัดน้ำหนักส่วนเกินสำหรับคนเลือดกรุ๊ปบี

1. งดอาหารที่ชะลอการทำงานของระบบเผาผลาญ
เช่น ข้าวโพด แป้งสาลี ถั่วลิสง เนื้อไก่ บัควีต ที่มีเล็กตินต่อต้านระบบการเผาผลาญไขมัน

2. กินอาหารให้สมดุล
ครบห้าหมู่และดีกับกรุ๊ปเลือดคุณ เน้นผักและผลไม้เส้นใยอาหารมาก

3. ดื่มน้ำและชาเขียว
เพื่อ กระตุ้นการทำงานของระบบเมตาบอลิซึ่ม ชาเขียวสามารถสลายไขมันได้ถึงร้อยละ 30 หากดื่ม 3 แก้วต่อวัน (เลือกแบบมาชงเองนะ ชาสำเร็จรูปเป็นขวดน้ำตาลเยอะ) ดื่มน้ำควบคู่กันไปด้วย

4. สับปะรดช่วยสลายไขมัน
ด้วยเอนไซม์โบรมีเลน ช่วยย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น ลดการสะสมไขมัน และช่วยทำความสะอาดอวัยวะภายใน แบบดีท๊อกซ์ กินทุกวันช่วงลดน้ำหนัก

5. ออกกำลังกาย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
สลายไขมันและความเครียด ด้วยการออกกำลังแบบปานกลางครั้งละ 30-45 นาที เช่น ขี่จักรยาน เทนนิส ว่ายน้ำ เดินเร็ว เป็นต้น

ทดลองใช้ฟรี เป็นชาเขียวช่วยเผาผลาญไขมัน

กินตามกรุ๊ปเลือด มีผลกับชีวิตแค่ไหน ?

เลือดแต่ละกรุ๊ปมีสารเคมีในเลือดต่างกัน แต่จะมี Antigen เป็นตัวกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารทุกชนิดล้วนมีโปรตีนซึ่งเป็นอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติเหนียวและจับเกาะติดเลือด เรียกว่า เล็คติน ถ้าการกินอาหารที่มีเล็คตินไม่เหมาะกับเลือดเรา เล็คตินเหล่านั้นยังเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร การสร้างอินซูลิน การเผาผลาญอาหาร และความสมดุลของฮอร์โมน

กรุ๊ป A นักมังสวิรัติ
คน เลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่จะมีกรดในกระเพาะต่ำ ทำให้ระบบกายย่อยไม่ค่อยดี ระบบภูมิคุ้มกันก็ไม่ดี มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและมะเร็ง กรุ๊ปเอจึงถูกจัดเป็นนักมังสวิรัติ
อาหารที่เหมาะกับกรุ๊ปเลือด กินปลาอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อเสริมโปรตีนหลีกเลี่ยงปลาเนื้อขาว เช่น ปลาตาเดียว หรือปลาจะละเม็ด เพราะมีเล็คตินรบกวนระบบการย่อย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ต่างๆ อาจกินเนื้อไก่ได้นิดหน่อย เลือกดื่มนมถั่วเหลือง นมแพะ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำแทนนมวัว กินไข่ได้บ้างเป็นครั้งคราว
บรรดาตระกูลถั่วต่างๆ อาทิ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ถั่วลิสงที่มีเยื่อหุ้มบางๆ และถั่วเหลือง เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปนี้ สามาถกินข้าวกล้องหรือซีเรียลได้วันละ 1-2 ครั้ง ผักทั้งสดและสุกกินแล้วดี โดยเฉพาะหอมหัวใหญ่และบร็อคเคอลีมีสารแอนติออกซิแดนท์สูง แครอท ฟักทอง ผักโขม และกระเทียม ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน กินผลไม้ได้แทบทุกชนิดยกเว้นแตงโม แคนตาลูป มะม่วง มะละกอ กล้วย ส้ม เพราะย่อยยาก พวกชาสมุนไพรจะไปเพิ่มกรดในกระเพาะ ไวน์แดงดื่มได้แต่ควรเลี่ยงเบียร์และน้ำอัดลม

กรุ๊ป B อ้วนง่าย
คน ที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่มีปัญหากับไวรัสและภูมิคุ้มกันบกพร่อง ระบบประสาทไม่ค่อยดี ชอบปวดตามข้อ ซึ่งไม่ใช่อาการของเกาต์หรือรูมาทอยด์ มีโอกาสเกิดโรคแผลในสมอง (Sclerosis) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
อาหารที่ เหมาะกับกรุ๊ปเลือด เนื้อกระต่าย กวาง แกะ ไก่งวง ควรกินปลาน้ำลึก เช่น ปลาหิมะ และปลาเนื้อขาวอย่างปลาจะละเม็ด ปลาตาเดียว หลีกเลี่ยงเนื้อหมู ไก่ หอยเชลล์ กุ้ง ปู หอยแครง เพราะจะรบกวนระบบในร่างกายสามารถกินนม เนย ไข่ ในปริมาณที่เหมาะสมได้
ข้าวโอ๊ตและข้าวกล้องดีต่อคนเลือดกรุ๊ปนี้ ขณะที่แป้งสาลี ถั่วลิสง และโฮลวีท ไม่ดีต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย ทำให้อ้วน และไม่ดีต่อเลือด อาจเป็นสาเหตุของโรคเส้นโลหิตแตก ควรลองแป้งสเปลท์ (Spelt) ซึ่งเป็นแป้งที่มีคุณค่าทางสารอาหารและมีไฟเบอร์สูง ผักใบเขียวทุกชนิดกินดีหมด เพราะมีแมกนีเซียมช่วยป้องกันอาการผื่นคัน
แต่ ถ้าอยู่ระหว่างไดเอ็ทควรหลีกเลี่ยงมะเขือเทศและข้าวโพด เพราะมีผลต่อการสร้างอินซูลินและระบบเผาผลาญ กินผลไม้ได้แทบทุกชนิด ยกเว้นลูกพลับ ทับทิม และลูกแพร์ ชาสมุนไพรที่ให้ประโยชน์คือ ขิง เปปเปอร์มิ้นต์ โสม ชาเขียว

กรุ๊ป O High Protein
ปัญหาของคน เลือดกรุ๊ปนี้คือ กระเพาะมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อได้ดีกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น แต่ระบบการเผาผลาญไม่ค่อยดี ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ไม่ค่อยคงที่ จึงทำให้อ้วนง่าย ตามติดมาด้วยปัญหาเลือดแข็งตัวช้า
อาหารที่เหมาะกับ กรุ๊ปเลือด เลือกกินเนื้อได้ตามใจชอบ กินอาหารทะเลได้เป็นประจำเพื่อป้องกันโรคเลือดไม่แข็งตัวและไทรอยด์ แต่ระวังเรื่องไขมันและโคเรสเตอรอลด้วย กินนม เนย ไข่ ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยากผอมต้องเลี่ยงแป้งสาลี ข้าวโอ๊ต และบรรดาถั่วต่างๆ
ผักกินได้ แทบทุกชนิด โดยเฉพาะบร็อคเคอลี ผักโขม มีวิตามินเคสูง ช่วยให้เลือดแข็งตัว ส่วนผักตระกูลกะหล่ำเสี่ยงเสียเพราะมีผลต่อไทรอยด์ เห็ดหอม และมะกอกดองทำให้เกิดอาการแพ้ มะเขือยาวและมันฝรั่งทำให้ปวดข้อ ผลไม้กินได้แทบทุกชนิด โดยเฉพาะตระกูลเกรปฟรุต ตระกูลเบอร์รี่ (ยกเว้นแบล็คเบอร์รี่) ช่วยลดน้ำหนัก ควรเลี่ยงแคนตาลูป มะพร้าว ส้ม และ
สตรอว์เบอร์รี่ เพราะมีกรดสูงเกินไป ชาสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ อาทิ เปปเปอร์มิ้นต์ Licorice Tea Parsley ฯลฯ ไม่ควรดื่มเบียร์ ชา กาแฟ เพราะจะเพิ่มกรดในกระเพาะให้หนักเข้าไปอีก

กรุ๊ป AB มังสวิรัติและคาร์โบไฮเดรต
กรู๊ ปนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกรุ๊ปเลือดเอกับบี ดังนั้นวิถีการกินที่เหมาะสมกับคนกรุ๊ปนี้จึงเป็นการผสมผสานการกิน มังสวิรัติหน่อยๆ กับการกินแบบกรุ๊ปบีนิดๆ คนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีจุดอ่อนเรื่องสุขภาพอยู่ที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและ กรดในกระเพาะต่ำ
อาหารที่เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองและเต้าหู้ สามารถกินเนื้อแกะ กวาง กระต่าย และไก่งวงได้นิดหน่อย ไม่ควรกินปลาเนื้อขาวและแซลมอนรมควัน เพราะย่อยยากและเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร สามารถกินนม เนย ไข่ และโยเกิร์ตไขมันต่ำได้ จำพวกข้าว ข้าวโอ๊ต ข้าวไรย์ มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ควรงดเว้นการกินถั่วแดง งา เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ข้าวโพด เพราะจะชะลอการทำงานของอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงเฉียบพลัน ผักสดกินได้แทบทุกชนิด ช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ ผลไม้กินได้ดีเป็นบางอย่าง อาทิ องุ่น พลัม ตระกูลเบอร์รี่ สับปะรด ส้มโอ ฯลฯ เพราะช่วยสร้างความสมดุลของกรดในเนื้อเยี่อ ไม่ควรกินกล้วย มะม่วง ฝรั่ง ส้ม

บัญญัติ 10 ประการดูแลสีเล็บสวย

บัญญัติ 10 ประการดูแลสีเล็บสวย
ถ้าคุณชอบเรื่องความสวยความงาม อย่างเช่น การทาเล็บ เรามีเทคนิคในการดูแลสีเล็บ ให้สวยเรียบ และติดทน ไม่กระเทาะง่าย มาฝาก

1. รูปร่างที่ดีที่สุดสำหรับเล็บ คือรูปไข่ ที่ ตัดตรงด้านบนไปทีเดียว ให้เหลือความยาวของเล็บ ไม่เกินเศษหนึ่งส่วนสี่นิ้ว จากปลายนิ้ว แล้วใช้ตะไบจากมุมเล็บขึ้นสู่กลางเล็บ โดยฝนไปทางเดียวอย่างแผ่วเบา จนได้ความโค้งมนเท่ากันสองข้าง

2. เตรียมเล็บให้อ่อนละมุน ทา น้ำมันหรือมอยส์เจอไรเซอร์ไปตรงหนังฐานเล็บ (cuticle) ให้ชุ่มฉ่ำ แล้วแช่มือในน้ำอุ่น ที่ผสมน้ำมันมะกอก หรือนม สักหยดสองหยด อย่าผสมน้ำด้วยสบู่เหลว เพราะจะทำให้ผิว และเล็บแห้ง แช่ไว้ 2-3 นาที แล้วยกมืออก ซับให้หายเปียกแฉะ ใช้ปลายตะไบ หรือผ้าขนหนูหมาด ๆ ค่อย ๆ ผลักหนังฐานเล็บจนสุด แล้วใช้น้ำยาล้างสีเล็บ เช็ดน้ำมันออกจากเล็บให้หมดเกลี้ยง

3. ทารองพื้นเป็นแนวตรงกลาง โดย ลากแปรงจากฐานเล็บถึงยอดเล็บ แล้วจึงทาอีกสองข้างขนาบให้เต็มเล็บ รองพื้นช่วยตระเตรียมผิวเล็บให้เรียบ และป้องกันเล็บเหลือง ควรใช้ทุกครั้งที่ทาเล็บ และใช้เวลาทารองพื้นเสีย 2 รอบ สีจะติดดีขึ้นมากทีเดียว

4. ปาดแปรงสีทาเล็บไปกับปากขวด ใช้สีที่ติดแปรงอีกด้านหนึ่งทาเล็บด้วยวิธีเดียวกับทารองพื้น จุ่มสีใหม่ สำหรับอีกเล็บหนึ่ง ทาเล็บด้วยเทคนิคสามแถม ดีกว่าทาเป็นปื้นเดียว

5. ยาทาเล็บจะติดแนบแน่นดีกว่า บนพื้นผิวที่แห้งสนิท ดังนั้นอย่ารีบร้อน ทิ้งให้สีอยู่ตัวอย่างน้อยสองนาที ก่อนทาสีชั้นที่สอง ถ้าไม่ต้องการใช้สีเล็บเยินเร็ว ให้เวลาแห้งอย่างน้อย 30 นาทีก่อนใช้งาน

6. ทาน้ำยากันกะเทาะ (top coat) ทุกวันเว้นวัน เพื่อกันสีเล็บหลุดร่อน หรือทาซ้ำทุกวัน หากคุณต้องพาเล็บ ออกไปเจอะเจอกับรังสียูวีอยู่เสมอ รังสีร้ายนี้สามารถทำให้สีสวย ๆ ของเล็บดูเหลืองซีดได้

7. เช็ดรอยเปื้อนด้วยกระดาษเช็ดหน้า ห่อปลายคอตตอนบัดส์ ชุบในน้ำยาล้างยาทาเล็บ อย่าใช้คอตตอนบัดส์ โดยตรง เพราะขนของสำลีอาจหลุดติดเล็บที่ยังไม่แห้งสนิท

8. สาว ๆ สามารถป้องกันสีเล็บกะเทาะได้ด้วย การใส่ถุงมือยาง เวลา ทำงานบ้าน เพราะทุกครั้ง ที่คุณเอามือแช่ในน้ำล้างจาน น้ำซักผ้า หรือเปรอะเปื้อนน้ำยาเช็ดกระจก ฯลฯ เล็บจะดูดซึมเอาสารเคมีในน้ำยาเหล่านี้เข้าไป ทำให้เล็บแห้ง และหด แยกตัวจากชั้นสีที่ทา ทำให้กะเทาะง่ายขึ้น

9. ถ้าสีเล็บเริ่มเหลืองซีด หรือเป็นรอยกะเทาะมาก ลบออกให้หมดแล้วเริ่มใหม่ หรือลบไว้เฉย ๆ ก็ได้ เพราะถึงอย่างไร เล็บที่ไม่ทาสี ย่อมดูดีกว่าเล็บทาสีที่กระเทาะแน่นอน

10. ให้ความผ่อนคลาย และความพึงพอใจกับตัวเองนาน ๆ ที โดยไปให้ช่างทำเล็บให้ โดยเฉพาะเล็บเท้า
บัญญัติ 10 ประการดูแลสีเล็บสวย

น่าตกใจ หญิงสูงอายุไทยเป็นกระดูกพรุนถึง1ใน7

1 ใน 7 ของผู้หญิงไทยที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป...เป็นโรคกระดูกพรุน
น่าตกใจ หญิงสูงอายุไทยเป็นกระดูกพรุนถึง 1 ใน 7

1 ใน 20 ของคนที่เป็นกระดูกพรุน...เกิดกระดูกสะโพกหัก
1 ใน 6 ของผู้ที่เกิดกระดูกสะโพกหัก...จะเสียชีวิตใน 1 ปี
1 ใน 3 ของผู้ที่เกิดกระดูกสะโพกหัก...จะเสียชีวิตใน 5 ปี
ปัจจุบัน ในประเทศไทย มีผู้หญิงอายุตั้งแต่ 50 ปี ประมาณ 6.7 ล้านคน มีความชุกของโรคกระดูกพรุนถึงร้อยละ 13.6-19.8 โดยเฉพาะที่ภาคอีสาน (จ.ขอนแก่น) มีสูงถึงร้อยละ 19.3-24.7
มีการคาดการณ์ว่ามีผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนถึงประมาณ 1 แสนคนที่กระดูกสะโพก และมีถึง 1.3 ล้านคนที่เป็นกระดูกพรุนที่กระดูกสันหลัง!!
คาดว่าจะมีผู้ที่เกิดกระดูกสะโพกหักถึง 42,000 คน และจะมีผู้เสียชีวิตภายหลังกระดูกสะโพกหักถึง 7,140 คนภายใน 1 ปี
หากรอดพ้นการเสียชีวิต ก็จะมีโอกาสทุพพลภาพถึงขั้นเดินไม่ได้ถึงร้อยละ 22.1

ฟัง สถิติที่เกิดขึ้นในเมืองไทย เผยแพร่โดย รศ.นพ.ฉัตรเลิศ พงษ์ไชยกุล จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมูลนิธิกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย ว่าไว้อย่างนี้ดูน่ากลัวไม่น้อย บอกให้รู้ว่าผู้หญิงไทยเรายังเสี่ยงต่อกระดูกพรุนกันมากจนต้องรีบออกมาเตือน ให้หาทางระวังป้องกัน อันที่จริงโรคกระดูกพรุนสามารถเกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่ทราบหรือไม่คะว่าผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อโรคนี้มากกว่าผู้ชาย! เป็นเพราะเหตุใดกัน?
มีงาน วิจัยที่ศึกษาจนได้ข้อสรุปว่า ผู้หญิงมีต้นทุนทางกระดูกต่ำกว่าผู้ชาย คือ มีการสะสมเนื้อกระดูกไว้ได้น้อยกว่าผู้ชาย เหตุผลหลักๆ ที่มาสนับสนุนเรื่องนี้ได้แก่การที่ผู้หญิงมักจะ กลัวแดด มีโอกาสออกไปกลางแจ้งตากแดดน้อยกว่าผู้ชาย จึงทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีน้อย โดยเฉพาะคนที่อยู่ในประเทศไกลจากเขตศูนย์สูตรจะยิ่งพบการขาดวิตามินดีจากแสง แดดมากขึ้น แถมผู้หญิงยังมีโอกาสออกกำลังกายน้อยกว่าด้วย ทำให้กระบวนการสร้างมวลกระดูกทำได้ไม่เต็มที่อย่างในผู้ชาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อถึงวัยที่มีการสลายมวลกระดูกมากกว่าการสร้างกระดูก จึงทำให้เนื้อกระดูกบางลงจนถึงระดับกระดูกพรุนได้เร็วกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิงจะมีการลดระดับลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นกระบวนการที่เร่งให้มวลกระดูกสลายเร็วยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่ผู้ชายซึ่งมีโอกาสอยู่กลางแจ้งมากกว่า มีโอกาสออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวมากกว่า แถมไม่มีช่วงเวลาที่ฮอร์โมนเพศลดลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ จึงทำให้ผู้ชายกระดูกพรุนช้ากว่าผู้หญิง
ด้วย เหตุนี้จึงพบว่าผู้หญิงวัยทองที่หมดประจำเดือนไปแล้วประมาณ 10-20 ปี เป็นโรคกระดูกพรุนกันมาก เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระดูกหัก โดยเฉพาะกระดูกข้อมือ กระดูกสันหลัง และกระดูกสะโพก ซึ่งมีโอกาสกระทบกระแทกแตกหักง่ายเป็นพิเศษ
อย่าง ไรก็ตามคุณผู้หญิงทุกคนสามารถป้องกันกระดูกพรุนได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่ารอจนถึงวัยหมดประจำเดือนแล้วค่อยคิดถึงเรื่องนี้เพราะมันอาจสายเกินไป สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสะสมแคลเซียมในกระดูกให้เพียงพออย่างสม่ำเสมอตั้งแต่วัยเด็กเรื่อยไปจน ถึงวัยหนุ่มสาว ซึ่งเป็นวัยที่ร่างกายจะมีมวลกระดูกหนาแน่นสูงที่สุด ร่วมกับการชะลอการสลายมวลกระดูกอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยการรับประทานอาหาร ที่มีแคลเซียมสูงพร้อมทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่มีคุณค่าต่อการสร้างเสริม กระดูก เช่น ผลิตภัณฑ์นมที่เสริมวิตามินเค วิตามินดี วิตามินซี แมกนีเซียม
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

สารและตัวยาที่ทำให้หน้าขาวใส

ทราบหรือไม่ว่า สารและตัวยาชนิดใดที่ทำให้หน้าขาวใส วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก
สารและตัวยาที่ทำให้หน้าขาวใส
ทราบหรือไม่ว่า สารและตัวยาชนิดใดที่ทำให้หน้าขาวใส วันนี้เรามีเรื่องนี้มาบอก
กลูตาไธโอน
ลด การสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการเสื่อมของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้า ขาวสวยใส เปล่งปลั่งไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่นใต้วงแขน บริเวณขอบชุดชั้นใน ริมฝีปาก และบริเวณหัวนม ให้ขาวอมชมพู

สารสกัดจากเปลือกสน
ทำ ให้ผิวขาวใส โดยลดปฏิกิริยาของผิวหนังเมื่อถูกแสงแดด ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดขนาดและความเข้มของฝ้า กระและช่วยปรับสภาพผิวให้กลับขาวใสขึ้น เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้แรง

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
ใน เมล็ดองุ่นมีสารบางชนิด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้เนื้อเยื่อโครงสร้างผิวแข็งแรง ปกป้องเนื้อเยื่อโครงสร้างผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอย ลดความหยาบกร้าน หมองคล้ำ ทำให้ผิวใส เรียบเนียน

ชาเขียวสกัด
ปก ป้องและรักษาผิวจากการทำลายของมลภาวะ โดยเฉพาะแสงแดด ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิว ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ช่วยให้ผิวขาวขึ้น ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอย

โคเอนไซม์คิวเทน
ช่วย ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการเกิดริ้วรอย ด้วยการเร่งการผลิตคอลลาเจน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง

วิตามินซี
เสริม สร้างคอลลาเจน ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ลดการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยคงความแข็งแรงของผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและเผยผิวขาวเนียนสดใส

สารสกัดจากมะเขือเทศ
ลด รอยดำ และความหมองคล้ำจากผลกระทบโดยตรงหรือโดยทางอ้อมจากแสงแดด ลดการถูกทำลายของผิว ช่วยปกป้องจาการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย เสริมฤทธิ์กับชาเขียวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว

วิตามินอี
เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย

ซีลิเนี่ยม
ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำงานเสริมกับวิตามินซี และ วิตามินอี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครอยากมีผิวหน้าขาวใส ลองมองหาสารหรือตัวยาที่แนะนำมาใช้กันดูได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ตรวจก่อนแต่ง...

http://www.212cafe.com/freewebboard/user_board/pongpitaks/picture/00025_26.jpg



สำหรับคู่รักที่เตรียมจะลั่นระฆังวิวาห์ เชื่อได้เลยว่าต่างพากันหัวหมุนกับการเตรียมงาน จองโรงแรม ไหนจะสินสอดทองหมั้น หรือบางคนเลยไปถึงว่าจะไป honeymoon ที่ไหนดี แต่ไม่ว่าจะยุ่งกันแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่แพ้การตรวจเช็ดดีกรีความรักของคุณทั้งสองก็คือ การตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน (Medical checkup for couples)

หลายท่านอาจสงสัยว่า แล้วแตกต่างจากตรวจร่างกายประจำปีอย่างไร ? โดยปกติผลตรวจร่างกายที่คุณมี เป็นเพียงการตรวจร่างกายพื้นฐาน ได้แก่ Physical Examination โดยแพทย์ การตรวจปอดและหัวใจโดย X-ray ตรวจปัสสาวะดูการทำงานของไต ตรวจเลือดเพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจระดับน้ำตาล ไขมัน ตรวจการทำงานของตับ ซึ่งผลตรวจเหล่านี้ก็จะบ่งชี้ได้ว่า ร่างกายของคุณมีความพร้อมสมบูรณ์เพียงใด

แต่สำหรับการตรวจร่างกายก่อนแต่งนั้น เป็นการตรวจความพร้อมของร่างกายก่อนแต่งงานรวมไปถึงการตรวจเพื่อป้องกันโรคทางพันธุกรรมชนิดต่างๆ หรือโรคที่สามารถถ่ายทอดได้โดยการมีเพศสัมพันธ์ผลการตรวจเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งสะท้อนถึงการให้กำเนิดทายาทตัวน้อยที่สมบูรณ์และแข็งแรงในวันข้างหน้านั่นเอง ทีนี้มาดูกันซิว่าการตรวจสอบที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง

  1. กรุ๊ปเลือด (Blood group)รวมทั้งการตรวจหมู่เลือด Rh negative ของฝ่ายหญิง ซึ่งหากตรวจพบ อาจส่งผลให้เกิดภาวะเลือดของแม่และลูกเข้ากันไม่ได้

  2. ธาลัสซีเมีย (Thalassemia)เป็นโรคโลหิตจางที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้สร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติ และแตกสลายเร็วกว่าที่ควร หากพบว่าทั้งคู่เป็นพาหะ การตั้งครรภ์อาจเสี่ยงต่อการแท้ง หรือหากมีชีวิตรอดอาจทำให้คุณภาพชีวิตของเด็กแย่ลง ต้องถ่ายเลือดไปตลอดชีวิต รวมไปถึงการมีสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง ติดเชื้อง่าย บางรายไม่มีอาการของโรคแต่ก็เป็นพาหะที่สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมไปยังลูกหลานได้

  3. โรคพร่องเอนไซม์ G-6-PDเป็นโรคพันธุกรรมชนิดหนึ่งที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ง่าย หากพ่อแม่มีความผิดปกติของพันธุกรรมนี้แล้วถ่ายทอดสู่ลูก จำเป็นต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงสารที่เป็นอันตรายต่อเม็ดเลือดแดง เช่น ยากลุ่มซัลฟา แอสไพริน ถั่วปากอ้า เป็นต้น

  4. เอดส์ (HIV)เป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตรายมาก เนื่องจากยังไม่สามารถป้องกันด้วยวัคซีนหรือรักษาให้หายขาดได้ และคงไม่ดีแน่หากพ่อหรือแม่ต้องจากลูกน้อยไปก่อนวัยอันควร

  5. ซิฟิลิส (VDRL)เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อแล้วไม่ได้รับการรักษา เชื้ออาจถ่ายทอดไปยังทารกในครรภ์ ทำให้ทารกตายในครรภ์หรือตายหลังคลอด ทารกที่รอดชีวิตอาจพบความผิดปกติได้เช่น ดั้งจมูกยุบ เพดานปากโหว่ ฟันหน้าเว้าแหว่ง แก้วตาอักเสบและอาจตาบอด เส้นประสาทฝ่อ หูหนวก สมองเสื่อม เนื่องจากเชื้อเข้าไปทำลายระบบประสาท

  6. ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)โรคนี้ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์และทางเลือด ทำให้มีการส่งผ่านจากแม่สู่ลูกได้ หากมีเชื้อไวรัสในร่างกายอาจมีโอกาสกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง โรคตับแข็ง และโรคมะเร็งตับอื่นๆ ก็ได้ ดังนั้นแพทย์อาจพิจารณาให้วัคซีนตับอักเสบ บี ร่วมด้วย

  7. หัดเยอรมัน (Rubella)เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส หากเป็นโรคนี้ในหญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการ ดังนั้นแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนหัดเยอรมัน รวมทั้งการฉีดวัคซีนบาดทะยัก (Tetanus) ก่อนการตั้งครรภ์ด้วย

ดังนั้นการตรวจร่างกายสำหรับคุณทั้งสองที่ตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่ด้วยกันจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากจะช่วยตรวจสอบว่าคุณมีความสมบูรณ์ทางร่างกายเพียงใดแล้วยังเป็นเครื่องชี้วัดความแข็งแรงของลูกน้อยอีกด้วย และแน่นอนว่าครอบครัวของคุณจะเป็นครอบครัวที่มีสุขภาพดีและมีความสุขอย่างที่คุณวาดฝันไว้นั่นเอง

10 เหตุผลดีๆ ที่ควรรับประทานอาหารทะเล


  1. อาหารทะเลเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด สถาบันมาตรฐานอาหารแนะนำให้รับประทานปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์
  2. ปลาเนื้อขาวส่วนใหญ่มีไขมันต่ำ แคลอรี่ต่ำ ซึ่งในเนื้อปลา 100 กรัม มีไขมันน้อยกว่า 1 กรัม
  3. เนื้อปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ
  4. ปลาเป็นอาหารที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโอเมก้า -3 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของสมองในการสร้างสมาธิ
  5. โอเมก้า -3 มีฤทธิ์ในการต่อต้านการอักเสบ มีผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไขข้อ และโรคผิวหนัง
  6. โอเมก้า -3 ช่วยลดไขมันที่อุดตันในเส้นเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง
  7. เนื้อปลาอุดมไปด้วยวิตามินดี แคลเซียม ไอโอดีน และเซเลเนียมซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกาย
  8. โคเรสเตอรอลที่มีอยู่ในอาหารทะเล ไม่มีอันตรายต่อระบบความดันโลหิต
  9. ในขณะตั้งครรภ์ โอเมก้า -3 มีความจำเป็นในการพัฒนาดวงตาและเซลล์สมองของทารก
  10. โอเมก้า -3 ที่พบในเนื้อปลามีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าโอเมก้า -3 ที่พบในพืช
แหล่งข้อมูล Waitrose Ltd , London.