14 วิธีคงความหนุ่มสาว

http://www.zuxzix.com/images/imageArticle/1235526363._x_choice_and_directions_signs.jpg



ปัจจุบันศาสตร์แห่งการชะลอวัยเป็นที่พูดถึงอย่างมากในอเมริกาและยุโรป นี่คือเคล็ดลับ 14 ข้อที่จะคงความเป็นหนุ่มสาว จาก แพทย์หญิงพัฒศรี พงษ์สถิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทพ ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ


  1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว
    การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท่ช้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงๆต่ำๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์ คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1-2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดให้น้อยที่สุดคือไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล
  2. กินหลากแหล่ง
    เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต
  3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค
    หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุงกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า
  4. ลดคาเฟอีน
    ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอากรมอเท้าเย็น เวียนศรีษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ
  5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน
    ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการ Cow’s Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมากๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ เช น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า
  6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว
    การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย
  7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน
    คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ๆเกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้นทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30-45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย
  8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง
    การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถงเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน
  9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้
    บุหรี่ 1 สูบกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง
  10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท
    ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ “เซอร์โคเนียม” (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย
  11. วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว
    มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า
  12. เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม
    ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่นๆในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร็ธฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป
  13. กินวิตามิน
    วิตามินบางตัวออกฤทธิ์เป็นสารอนุมูลอิสระ เช่น กลุ่มวิตามินเอ อี ซี ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการตลอดเวลาเพราะสร้างเองไม่ได้ และต้องทำงานเป็นระบบ แต่ละตัวมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น วิตามินซีละลายในน้ำ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอ ส่วนวิตามินเอ อี โคเอนไซม์คิว 10 ละลายในไขมัน ช่วยปกป้องผนังเซลล์ให้แข็งแรง ถ้ามั่นใจว่าได้รับสารเหล่านี้เพียงพอจากการกินอาหารจะไม่กินวิตามินเสริมก็ได้ แต่ปัญหาก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารที่กินเข้าไปให้วิตามินเหล่านั้นเพียงพอ เช่น ร่างกายต้องการวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม เท่ากับส้ม 14 ลูก วิตามินอี 500 IU เท่ากับกินน้ำมันพีนัท 12.5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราไม่มีโอกาสได้รับอย่างครบถ้วน จึงต้องใช้วิตามินเสริมทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราขาด ก็ด้วยการตรวจปริมาณสารเหล่านี้ในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด
  14. เสริมฮอร์โมน
    ปกติร่างกายต้องใช้ฮอร์โมนในการทำงาน แต่ผู้หญิงผู้ชายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะผลิตฮอร์โมนลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อ่อนเพลีย อารมณ์หงุดหงิด ความจำแย่ลง การเผาผลาญลดลง ร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น แห้ง ผมร่วง ตามหลักการของเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือ Anti-Aging Medicine นั้น ถ้าไม่มีข้อห้าม สามารถได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาสมดุลเหล่านั้นกลับคืนมา แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ที่มา: ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทพ ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ

เรื่องการนอน...ใครว่าไม่สำคัญ

การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่คนเราใช้มากที่สุด ซึ่งยาวนานถึง 6-8 ชั่งโมงต่อวัน หรือเท่ากับ 1 ใน 3 ของชีวิตคนเรา หากพักผ่อนไม่เพียงพอ จะมีผลต่อสมาธิ การตัดสินใจ และทำให้อารมณ์แปรปรวน ร่างกายอ่อนล้า ซึ่งจะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตและคุณภาพการทำงานได้ นอกจากการนอนอย่างเพียงพอแล้วการนอนอย่างมีคุณภาพก็สำคัญ พบว่าท่าทางในการนอนมีผลต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน เพราะการนอนที่ผิดสุขลักษณะอาจทำให้เกิดการปวดหลัง ปวดเมื่อยตามร่างกายและเป็นสาเหตุของการพักผ่อนไม่เพียงพอ

ท่านอนหงายการนอนหงายที่ถูกต้อง ควรจะใช้หมอนต่ำและต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกับลำตัว เพื่อป้องกันการปวดคอ ท่านอนหงายไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกะบังลมจะกดทับปอด ทำให้หายใจไม่สะดวก นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายจะทำให้อาการปวดรุนแรงยิ่งขึ้น


ท่านอนตะแคงขวาเป็นท่านอนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับท่าอื่น เพราะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก อาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


ท่านอนตะแคงซ้ายเป็นท่าที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้างและพาดขาไว้ เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน แต่ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมด


ท่านอนคว่ำเป็นท่านอนที่ทำให้หายใจติดขัด ปวดต้นคอ เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านข้าง หรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยต้นคอ


นอกเหนือจากท่าทางในการนอน การเลือกใช้ที่นอนก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เนื่องจากส่วนขามีลักษณะโค้งและส่วนหลังมีลักษณะโค้งเป็นรูปตัวS ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างที่นอนกับส่วนของร่างกาย หากที่นอนมีความแข็งจนเกินไปอาจรองรับส่วนของกล้ามเนื้อไม่ได้ครบทุกส่วน ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเกร็งโดยไม่รู้ตัว


ด้วยสาเหตุนี้เองจึงได้มีการพัฒนาที่นอนแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้และปรับให้รองรับกับการเคลื่อนไหวตามส่วนต่างๆ ของร่างกายในขณะที่นอนหลับ เพราะโดยธรรมชาติคนเราต้องพลิกตะแคง เปลี่ยนท่าไปมาทุกๆ 15- 30 นาที


วิวัฒนาการของที่นอนแบบใหม่มีการผลิตจากวัสดุที่ทำด้วย Memory Foam และยางพารา ซึ่งดีต่อสุขอนามัย ไม่ก่อให้เกิดฝุ่นหรือปล่อยสารที่นอนที่อาจก่อให้เกิดภูมิแพ้ นอกจากนั้นยังมีข้อดีในด้านความยืดหยุ่น มีแรงสปริงต้านน้ำหนักของร่างกาย สามารถออกแบบให้มีความนุ่มพอดีกับน้ำหนักและแรงกดของร่างกายแต่ละส่วนได้ง่าย ไม่มีเสียงดังและไม่รบกวนคนที่นอนข้าง ขณะที่พลิกตัว


ดังนั้นการเลือกที่นอนที่มีคุณภาพและมาตรฐานนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะช่วยส่งเสริมการพักผ่อนให้มีคุณภาพ เพราะการนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการทำงาน


เคล็ดลับเพื่อการนอนที่ดี

  • อ่านหนังสือด้วยแสงไฟอ่อน หรือนั่งสมาธิก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ดี

  • เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วงนอนแล้วเท่านั้น

  • หลีกเลี่ยงการนอนหลับในช่วงเวลากลางวัน หากรู้สึกเพลียหรือง่วงให้นอนหลับไม่เกิน 30 นาที

  • งดอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โดยเฉพาะในช่วงเย็นหรือใกล้เข้านอน

  • ไม่ควรรับประทานอาหารมื้อหนักหรือปล่อยให้ท้องว่างก่อนเข้านอน

  • ดื่มนมอุ่นๆ 1 แก้วก่อนนอน ซึ่งจะช่วยให้อิ่มและนอนหลับสบาย

  • ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน จะช่วยกระตุ้นการนอนหลับในเวลากลางคืนได้เป็นอย่างดี


สนับสนุนข้อมูลบางส่วนโดย MODERNFORM HEALTH & CARE Co., LTD.

ลดความเสี่ยง ลดข้อเสื่อม

ขึ้นชื่อว่าข้อเสื่อม (Arthritis) หลายคนอาจจะเข้าใจว่าเป็นโรคของผู้สูงอายุเท่านั้นแต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคข้อเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับกลุ่มคนวัยทำงานไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่ด้วยความที่ว่ากว่าที่ข้อจะเสื่อมจนแสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจนนั้นอาจใช้เวลานานหลายสิบปี ดังนั้นกลุ่มผู้สูงอายุจึงเป็นกลุ่มที่บ่นเจ็บออดๆ แอดๆ จากอาการของข้อเสื่อมให้เราเห็นอยู่บ่อยครั้ง


โรคข้อเสื่อมคืออะไร ? แท้จริงแล้วข้อเสื่อมเป็นโรคที่มีความผิดปกติของกระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อ (Cartilage matrix) และกระดูกบริเวณใกล้ข้อทั้งหลาย โดยปกติแล้วที่ปลายกระดูกแต่ละส่วนนั้นจะมีกระดูกอ่อนอยู่เพื่อช่วยป้องกันข้อเวลาที่มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ภายในข้อก็จะมีน้ำไขข้อที่ช่วยให้ข้อสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อนทั้งในด้านโครงสร้างหรือองค์ประกอบทางชีวเคมี จนทำให้หน้าที่ในการกระจายแรงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของข้อเสียไป หรือเกิดแรงกดทับภายในข้อมากขึ้น จนทำให้ผิวกระดูกอ่อนมีลักษณะปริออกจากกัน ผู้ป่วยก็จะเริ่มมีอาการของข้ออักเสบเกิดขึ้น โดยมีอาการปวด บวมแดง ร้อนที่ข้อด้านใดด้านหนึ่งก่อน อาจมีเสียงจากการเสียดสีกันของผิวข้อที่ไม่เสมอกัน การเคลื่อนไหวของข้อมีลักษณะพับเป็นมุมได้น้อยลง เช่น ข้อเข่าไม่สามารถเหยียดตรงได้ ซึ่งแน่นอนว่าอาการเจ็บจะมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวข้อนั้นๆ


พอมาถึงจุดนี้แล้ว ดูเหมือนว่าโรคข้อเสื่อมนั้นช่างกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคุณเหลือเกิน แม้ว่าปัจจัยของการเกิดข้อเสื่อมจะมาจากการเสื่อมสลายของข้อไปตามกาลเวลา แต่คุณสามารถดูแลข้อให้แข็งแรงเพื่อให้สามารถใช้งานไปได้นานๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องยืนเป็นเวลานาน หรือแบกหามของหนัก แน่นอนว่าข้อบริเวณเข่าทั้งสองจะเป็นส่วนที่รับน้ำหนักไว้ทั้งหมด ดังนั้นจำเป็นต้องผ่อนคลายอิริยาบถ ยืดเส้นยืดสายบ้าง นอกจากนี้วิถีการใช้ชีวิตประจำวันหลายอย่างก็อาจส่งผลต่อข้อของคุณได้ เช่น การนั่งยองเป็นเวลานานอาจมีผลเพิ่มแรงกดทับที่ข้อเข่าถึง 10เท่าของน้ำหนักตัว การใช้นิ้วและข้อมือถือของหนักเวลาไปจ่ายตลาด หรืออาชีพที่ต้องใช้ข้อมือข้อขากระแทกอยู่บ่อยครั้ง เช่น คนที่ทำงานขุดเจาะถนน นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องของน้ำหนักตัวที่มากขึ้นซึ่งจะไปเพิ่มแรงกดทับให้กับข้อเป็นเงาตามตัวนั่นเอง

พอมาถึงประเด็นในเรื่องของการออกกำลังกาย หลายคนอาจสงสัยว่าควรออกกำลังกายหรือไม่กันแน่ ? คำตอบก็คือ ควรออกกำลังกายแต่ต้องเลือกชนิดกีฬาร่วมด้วยการออกกำลังกายที่ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบๆ ข้อของคุณแข็งแรงยิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นการป้องกันแรงกดทับที่เกิดขึ้นโดยตรงบริเวณข้อ สำหรับการออกกำลังกายและการบริหารที่ลดการใช้งานข้อเข่า ได้แก่ การเกร็งกล้ามเนื้อรอบข้อซ้ำๆกัน การเคลื่อนไหวข้อในสระน้ำ การว่ายน้ำ การเดินก้าวยาวบนพื้นราบ การเต้นแอโรบิกในน้ำสำหรับการวิ่งจ๊อกกิ้งนั้นไม่แนะนำเนื่องจากข้อเข่าอาจต้องรับน้ำหนักมากถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ควรเปลี่ยนเป็นการเดินหรือการปั่นจักรยานแทนจะดีกว่า ข้อเข่าจะลดการแบกรับน้ำหนักเหลือเพียง 4เท่าและ1.5เท่าตามลำดับ


สุดท้ายก็จะเป็นเรื่องของโภชนาการและสารอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคข้อ สำหรับอาหารโดยทั่วไปนั้นจะคล้ายกับการเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักตัว โดยการจำกัดอาหารมันและหวานจัด เลือกรับประทานข้าวไม่ขัดสีเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณวิตามิน บี และเส้นใยอาหารให้กับร่างกายนอกจากนี้อาจรับประทานสารอาหารที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของข้อต่อและกระดูกอ่อนที่มีชื่อว่าGlucosamine Sulfate ในปริมาณ1,500มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งมีรายงานการใช้ในผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมว่า ช่วยชะลอการทำลายของข้อ และทำให้เนื้อกระดูกอ่อนแข็งแรงขึ้นด้วย

คุณมีอายุเท่าไหร่แล้ว?

หลายท่านที่เจอคำถามแบบนี้ คงจะหวั่นใจไม่น้อย


เพราะไม่แน่ใจจุดประสงค์ของผู้ถามว่ามีความหมายอย่างไรกันแน่ จะแลดูอ่อนกว่าวัยหรือแก่กว่าวัย ถ้าเป็นอย่างแรก คงดีใจไม่น้อย แต่ถ้าเป็นอย่างหลังละก็ความทุกข์ใจคงเกิดขึ้นทันที ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถรักษาสุขภาพร่างกายรวมถึงหน้าตาให้ดูอ่อนกว่าวัยได้ ไม่ยากแค่หันมาใส่ใจตัวเอง และอย่าปล่อยให้วันเวลาทำให้เราแก่ชราไปตามวัย เคล็ดลับการมีสุขภาพดีแลดูอ่อนกว่าวัยมีดังนี้


  1. Deal with stress

แน่นอนว่าความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สุขภาพอ่อนแอ และก่อให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ในภาวะเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา นั่นคือ สารอะดรีนาลีน และนอร์อะดรีนาลีน ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้เป็นสาเหตุของโรคที่นำไปสู่ความชราเร็วขึ้น เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า หดหู่ ฯลฯ ดังนั้นควรทำจิตใจให้แจ่มใสและพยายามคิดในแง่บวกอยู่เสมอ (Positive thinking)


  1. Build strong muscles

ผู้ชายที่อายุเริ่มเข้า 30 และผู้หญิง 40โดยธรรมชาติมัดใยกล้ามเนื้อจะเริ่มเกิดการเหี่ยวย่น ไม่มีแรงเหมือนก่อน พบว่าการออกกำลังเป็นเครื่องมือช่วยชะลอความแก่ที่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะออกกำลังกายแบบใดก็ตาม ล้วนมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง และเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย การออกกำลังกายแบบโยคะก็มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น และดูอ่อนกว่าวัยได้เช่นกัน


  1. Boots your immune system

เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลง ทำให้เกิดการติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น เวลาที่มีบาดแผลมักจะหายช้า แต่เราสามารถทำให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นได้ โดยรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์สูง โดยเฉพาะอาหารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น Vitamin E, Vitamin C, Zinc, Selenium, Alpha lipoic acid, Coenzyme Q10เป็นต้น


  1. Protect your brain

การดูแลสมองถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดก็ว่าได้ การรับประทานปลาอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ มีส่วนช่วยปกป้องเซลล์สมองเสื่อมได้ ปลาเป็นแหล่งของกรดไขมันจำเป็นกลุ่ม Omega-3 ที่ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ทำให้ความจำและความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ Fish oil และ Flax seed oil ก็เป็นแหล่งของ Omega-3 ที่ดี และการขาดวิตามิน บี โดยเฉพาะ Folic Acid และ Vitamin B12 ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การรับรู้ของสมองลดลง


Gingko biloba เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ช่วยบำรุงสมองและช่วยในเรื่องของความจำ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการเกาะตัวของเกร็ดเลือด ทำให้เพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย


  1. Beat inflammation

ภาวะอักเสบ (Inflammation) เป็นปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันในร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับบาดเจ็บหรือติดเชื้อ ซึ่งภาวะอักเสบอาจนำไปสู่ปัญหาของโรคเสื่อมชนิดต่างๆ ได้เช่น โรคหัวใจ สมองและระบบประสาท มะเร็ง ฯลฯ การรับประทานกรดไขมันจำเป็นกลุ่ม Omega-6 เป็นประจำอาจต่อต้านภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นได้ แหล่งของ Omega-6 ที่สำคัญคือ น้ำมันโบราจ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น นอกจากนี้พืชสมุนไพรจำพวกขิงและขมิ้นก็มีสรรพคุณลดภาวะการอักเสบได้เช่นกัน

คุณฝากแคลเซียมให้กับคลังกระดูกของคุณหรือยัง?

หลายๆ คนอาจจะรู้จักกับภาวะกระดูกพรุนว่า มักเกิดกับผู้สูงอายุที่เป็นสตรีสูงวัย แต่เหตุไฉนจึงต้องเกิดกับผู้หญิง และกระดูกมันจะพรุนได้อย่างไร แล้วมันหายไปไหน เรามีคำตอบให้กับคุณๆ ที่อยากรู้...


ภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ ภาวะที่เนื้อกระดูกบางลง เนื่องจากมีการสร้างกระดูกน้อยกว่าการทำลายกระดูก จึงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักได้ง่าย แม้ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุแค่เพียงเล็กน้อย เช่น การลื่นหกล้ม โดยบริเวณกระดูกที่ได้รับผลกระทบได้ง่าย คือ กระดูกสันหลัง สะโพก กระดูกข้อมือ ข้อเข่า และผลที่ตามมาก็คือ ผู้สูงอายุเหล่านั้นอาจต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จนเกิดแผลกดทับตามมาและนำไปสู่การเสียชีวิตได้ในที่สุด


พอมาถึงจุดนี้ หลายคนก็ยังอาจสงสัยอีกว่า ทำไมอยู่ดีๆ กระดูกจึงถูกทำลายได้ แท้จริงแล้ว สิ่งที่ถูกดึงออกไปจากเนื้อกระดูกก็คือ ธาตุแคลเซียม อันเป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อกระดูกที่แข็งแรงและยังจำเป็นต่อการทำงานของทุกระบบในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอกับความต้องการต่อวันจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติตาม โดยปกตินั้นกระดูกของเราจะมีค่ามวลกระดูกสูงสุด (Peak Bone Mass) ในช่วงวัยรุ่นไปจนถึงอายุ 25-30 ปี และหลังจากอายุ 35-40 ปีเป็นต้นไป ระดับมวลกระดูกจะเริ่มลดลงอย่างช้าๆ ประมาณ 0.5-1% ต่อปีทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แต่สำหรับในผู้หญิงนั้นจะมีปัจจัยในเรื่องของฮอร์โมนเพศที่ลดลงอย่างชัดเจนในช่วงประมาณ 5 ปีก่อนหมดประจำเดือน ซึ่งระดับฮอร์โมนเพศหญิงที่ลดลงนั้นจะเป็นเสมือนตัวเร่งให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกประมาณ 3-5% ต่อปี ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมผู้สูงอายุที่เป็นสตรีจึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนมากที่สุด


การป้องกันภาวะกระดูกพรุนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งแร่ธาตุแคลเซียมถือว่าเป็นแร่ธาตุหลักที่ส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูกแต่ก็มิใช่ว่าคุณจะประโคมแคลเซียมเสริมหรือให้ผู้สูงอายุดื่มนมเป็นแกลลอนๆ ต่อวัน เพราะร่างกายมีขีดความสามารถในการรับแคลเซียมต่อวัน อีกทั้งยังต้องพิจารณาถึงสภาพร่างกายของแต่ละคนด้วย เช่น มีโรคประจำตัว อาทิ โรคไตที่ไม่สามารถขับแคลเซียมส่วนเกินออก หรือบางรายมีปัญหาเรื่องกรดในกระเพาะอาหารน้อย การรับประทานแคลเซียมในรูปของเกลือคาร์บอเนต (Carbonate salt) อาจเกิดปัญหาเรื่องการดูดซึมและการนำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งในกรณีนี้การรับประทานแคลเซียมในรูปเกลือซิเตรท (Citrate) หรือซิเตรทมาเลท (Citrate malate) น่าจะมีความเหมาะสมมากกว่า


นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอีกหลายประการที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของเนื้อกระดูก เช่น การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การขาดวิตามิน ดี จากแสงอาทิตย์ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมรวมไปถึงการดื่มน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของกรดฟอสฟอริก (Phosphoric) ที่ต้องอาศัยการดึงแคลเซียมในเนื้อกระดูกออกมาเพื่อสะเทินฤทธิ์ (Neutralize)ของฟอสฟอรัสส่วนเกิน เป็นต้น


ดังนั้น เราจึงอยากให้ท่านรับประทานแคลเซียมอย่างน้อย800มิลลิกรัม/วัน เสมือนเป็นการฝากแคลเซียมให้กับคลังกระดูกของคุณ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดกระดูกพรุนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

กำเนิดโยคะ(Origins of YOGA)

http://www.bluebellhillvillagehall.co.uk/userimages/yoga-dvd--download-routine.jpg


โยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึก เฉพาะโยคีและชนชั้นวรรณะพราหมณ์ เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะ ได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็น ศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติเพื่อบรรลุ เป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ (Hatha Yoga ) ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธี ปฏิบัติของพระพุทธศาสนา


ความหมายของโยคะ (Meaning Of YOGA)
โยคะ หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว
หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหาร
ร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วย
บรรเทาและบำบัดโรคได้
หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ
สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี



ระดับของโยคะ
เพื่อการเข้าใจถึงตนเองอย่างแท้จริง และมีเป้าหมายเพื่อยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้น ควรปฏิบัติ
ตาม 8 ระดับ ของโยคะ ดังนี้

1. ศีลธรรม ประกอบด้วยข้อห้ามเพื่อระงับสิ่งชั่วร้ายต่างๆ
• ไม่ใช้ความรุนแรง
• พูดแต่ความจริง ไม่พูดโกหก
• ไม่ลักขโมย
• เป็นกลางในสิ่งต่าง ๆ
• ไม่โลภในของของผู้อื่น


2. จริยธรรม ประกอบด้วย สำนึกแห่งวิถีชีวิตอันดีงาม
• คิดสิ่งที่ดีๆ บริสุทธิ์ สะอาดทั้งกายและใจ ( คิดดี )
• พูดในแง่ดีและมีทัศนคติทางบวก ( พูดดี )
• ปฏิบัติทุกสิ่งด้วยความตรงไปตรงมา และยุติธรรม ( ทำดี )
• พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ (พอใจ )
• ชื่นชมและเห็นคุณค่า แห่งธรรมชาติ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ( ชื่นชมยินดี )

3. ท่าฝึกอาสนะ การบริหารร่างกาย และดูแลร่างกายให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น

4. ปราณายาม เป็นการบริหารลมหายใจ เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังชีวิตอย่างเต็มที่

5. การควบคุมความรู้สึก (การสำรวมจิต ) โดยตั้งจิตสงบอยู่ภายใน ไม่วอกแวก

6. การเพ่งจิต (Concentration) ด้วยการกำหนดจิตให้อยู่กับสิ่งๆเดียว

7. การภาวนาจิต (Meditation) โดยการศึกษา และวิเคราะห์สัจจะให้ถ่องแท้

8. สมาธิ (Samadhi ) หมายถึง การรักษาสภาวะจิตที่ดี พิจารณาสภาวะความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้ง และบรรลุถึง การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล

ข้อพิเศษ
เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุด โยคีทั้งหลายได้บัญญัติการกินอาหารแบบมังสวิรัติ ( กินเฉพาะผัก )
เข้าในรายละเอียดข้างต้น เพราะเชื่อว่าวิธีนี้ช่วยให้จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้

สำหรับคนทั่วไปที่ต้องทำงาน และผู้ที่ไม่สามารถกินอาหารมังสวิรัติ (ไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิด) ก็อาจ
กินอาหารแนวชีวจิต (แมคโครไบโอติก + ปลาทะเล) หรืออย่างน้อยก็กินอาหารแนวธรรมชาติให้
ครบ 5 หมู่ อย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ใหญ่ได้ก็จะดียิ่ง

โยคะ เคล็ดลับการออกกำลังกาย แบบง่ายๆ ทำให้ดูดีได้เสมอ

http://www.webwombat.com.au/lifestyle/health/images/yoga-2.jpg

โยคะ เคล็ดลับการออกกำลังกาย แบบง่ายๆ ทำให้ดูดีได้เสมอและช่วยเรื่องความงามแต่ยังเสริมเรื่องของสุขภาพเอาไว้ด้วยการออกกำลังกาย สร้างความแข็งแรง ทำสุขภาพดีได้ด้วยตัวคุณเอง



การออกกำลังกายในยุคปัจจุบันไม่จำเป็นต้องทำเฉพาะกีฬากลางแจ้ง ในลม แต่มีทางเลือกใหม่ให้สาวๆในยุคของการแข็งขันกับเวลา เมื่อมีคำว่าเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องทุกอย่างก็จะดูเหมือนเร่งรีบไปทุกอย่าง วันนี้ เราจึงหาท่าโยคะมาฝากค่ะ



โยคะไม่เพียงที่จะช่วยเรื่องความงามแต่ยังเสริมเรื่องของสุขภาพเอาไว้ด้วย การฝึกโยคะ เป็นการฝึกท่าโยคะและค้างท่านั้นไว้ระยะหนึ่ง โยคะจะเน้นความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือดและสาร อาหารสามารถผ่านไปเลี้ยงประสาทไขสันหลัง โยคะจะช่วยให้การทำงานของต่อมต่างๆรวมทั้งต่อมไร้ท่อทำงานดีขึ้น



การฝึกโยคะเป็นการยืดกล้ามเนื้อและมีการสอดคล้องกับการหายใจเป็นการรวมกาย และจิตร่วมกัน การฝึกท่าโยคะจะเป็นการฝึกประสาท ความยืดหยุ่น ความแข็งแรง การทรงตัว ลดความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีขึ้น และยังช่วยกระชับส่วนต่างๆของร่างกายได้อีกด้วย ท่าที่ใช้สำหรับการฝึกโยคะมีมากมาย แต่จะแบ่งท่าการฝึกดังนี้ ท่าที่เป็นหลักในการฝึกโยคะมีดังนี้



ฝึกโยคะ แก้ปัญหาปวดเมื่อย



สำหรับคนที่มีอาการปวดหลังการที่จะเปลี่ยนทุกอย่างให้ถูกวิธีก็คงต้องใช้ เวลาบ้าง นักกายภาพบำบัดจึงได้แนะนำ "การทำโยคะและฤๅษีดัดตน" เพื่อลดอาการปวดเมื่อย ซึ่งก็ถือเป็นการออกกำลังกายและช่วยยืดกล้ามเนื้อไปในตัวด้วย



- ท่าโยคะ ทำให้กล้ามเนื้อมีการผ่อนคลายและช่วยยืดกล้ามเนื้อ โดยเน้นการฝึกสมาธิและการหายใจเข้า – ออก



- ท่าโยคะลดอาการปวดคอ... เอามือประสานที่ท้ายทอย และดันศีรษะไปทางด้านหน้า นับ 1 - 10 จะช่วยให้บริเวณกล้ามเนื้อคอแข็งแรงและมีเลือดมาไหลเวียนมากขึ้น



- ท่านี้สำหรับผู้ที่สวมบรานานเกินไปจนทำให้เกิดการรัดบริเวณหัวไหล่ ต้นแขน และสะบัก...เอามือประสานกัน ยืดออกไปทางด้านหน้าให้สุดแล้วค้างไว้โดยนับ 1-10



- ท่าฤาษีดัดตนเพื่อลดอาการปวดหลังและไหล่อย่างง่ายๆก็คือ เอามือประสานกัน แล้วยืดแขนขึ้นไปด้านบนให้สุดจนรู้สึกตึงๆ แล้วค้างไว้โดยนับ 1 - 10



เสร็จจากดูแลสุขภาพของอกสวยกันแล้ว ก็ยังมีเคล็ดลับสำหรับคนอกเล็กมาฝากกันด้วยละค่ะ...



ไม่เพียงจะช่วยเรื่องการปวดเมื่อยเท่านั้นการฝึกโยค่ะยังช่วยกระชับกล้าม เนื้อได้อีกด้วย ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยปรารถนาที่จะมีบันทายที่สวยงามได้สัดส่วน โดยเฉพาะเวลาใส่กางเกงออกกำลังกายแบบรัดรูปหรือชุดว่ายน้ำแบบทูพีช นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ตั้งแต่ลักษณะโครงสร้างของร่างกาย การควบคุมน้ำหนัก และที่สำคัญคือการบริหารเพื่อให้กล้ามเนื้อดูฟิตและเฟิร์มอยู่เสมอ



เราขอแนะนำท่าโยคะที่คุณสามารถบริหารบั้นท้ายของคุณให้กลมกลึงสวยกระชับ ลองทำตามสัปดาห์ละ 3 ครั้ง แล้วคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในเวลาไม่กี่เดือน

เคล็ดลับในการเลือกน้ำหอม

beauty_tips_vol09no48-01.jpg

ถ้าคุณอยากจะซื้อน้ำหอมกลิ่นใหม่ แต่มักจะปวดหัวกับกลิ่นหอมหลายๆ กลิ่นที่ผสมปนเปอยู่ตรงเคาน์เตอร์น้ำหอม ก็ลองใช้เคล็ดลับในการเลือกน้ำหอมของเรานี้


  • ให้พนักงานขายฉีดน้ำหอมใส่ข้อมือคุณ แล้วกลับไปดมที่บ้าน นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้คุณรู้ได้อย่างแน่นอนว่าน้ำหอมขวดนั้นจะมี กลิ่นเช่นไรเวลาที่อยู่บนผิวของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังฉีดไปแล้วสองสามชั่วโมง
  • ถ้าอยากจะได้น้ำหอมติดมือกลับบ้านในวันที่ไปช้อปปิ้งนั้นเลย ก็ลองฉีดน้ำหอมแล้วเดินออกมาดมดูข้างนอก หรืออย่างน้อยก็เดินออกมาให้ไกลจากเคาน์เตอร์น้ำหอมนั้นหน่อย หรือถ้าให้ดีก็เดินดูนั่นดูนี่ซักหนึ่งชั่วโมง เพื่อจะได้รู้อย่างแน่ชัดว่าเมื่อคุณเหงื่อออกแล้วน้ำหอมขวดนั้นจะมีกลิ่น ยังไง
  • ถ้าคุณรู้ตัวว่าจะต้องดมน้ำหอมหลายกลิ่นกว่าจะเจอที่ถูกใจ ก็อย่าลืมเอาเมล็ดกาแฟใส่ถุงพลาสติกติดกระเป๋าไปด้วย เพราะการดมเมล็ดกาแฟในระหว่างลองกลิ่นน้ำหอม ก็จะช่วยให้กลิ่นน้ำหอมแต่ละกลิ่นไม่ติดจมูกคุณจนก่อให้เกิดความสับสน

ผิวเรียบเนียนไร้ปัญหา

beauty_tips_vol09no47-01.jpg

ตุ่มแดงๆ และรอยอักเสบที่เกิดจากโกนและแว็กซ์ขน


อาจกลายเป็นตัวทำลายความสวยในยามที่คุณต้องใส่เสื้อผ้าที่ต้องโชว์ผิวเนื้อแต่คุณสามารถป้องกันปัญหานั้นได้ ถ้าคุณใช้วิธีการของเรานี้


  • พยายามอย่าทำให้ผิวรู้สึกระคายเคืองหลังโกนหรือแว็กซ์ขน โดยหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือกรดต่างๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็เลือกแบบที่เป็นโทนเนอร์ชนิดอ่อนโยนแทน
  • ถ้าคุณกำลังเจอกับปัญหาขนคุด ก็ใช้หินขัดตัวถูเบาๆ บนผิวเนื้อที่ฟอกสบู่ไว้ เพื่อขัดลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป และเป็นการเปิดทางให้ขนคุดโผล่ออกมาได้ จากนั้นก็ออกแรงกดเบาๆ ทางด้านข้างเหมือนกำลังจะบีบสิว ถ้าขนคุดยังไม่โผล่ออกมาก็อย่าฝืน รออีกวันสองวันแล้วค่อยลองวิธีนี้ใหม่
  • วิธีป้องกันขนคุดแบบง่ายๆ คือโกนขนในทิศทางเดียวกับที่เส้นขนงอกออกมา นอกจากนี้ก็ควรเลือกใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวให้เส้นขนที่งอกขึ้นมาใหม่โผล่พ้นจากผิวได้ง่ายขึ้น

สูตรความงามแบบโฮมเมดที่ทั้งชวนให้น้ำลายไหลสำหรับสตรอว์เบอร์รี่ครีมมาสก์

beauty_tips_vol09no46-01.jpg

นี่เป็นสูตรความงามแบบโฮมเมดที่ทั้งชวนให้น้ำลายไหลและทำได้ง่ายอย่างมาก


สิ่งที่คุณต้องการก็คือ สตรอว์เบอร์รี่ผลขนาดกลาง 3-4 ผล ครีม 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ (เลือกแบบออแกนิกส์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษที่ทำให้ผิวระคายเคือง) บดสตรอว์เบอร์รี่ให้ละเอียด เติมครีมและน้ำผึ้งลงไปเพื่อให้เป็นส่วนผสมข้นๆ ทาลงบนใบหน้าและลำคอที่ทำความสะอาดแล้ว (เว้นรอบบริเวณดวงตา) ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำแร่


น้ำผึ้งเป็นส่วนผสมที่รู้จักกันดีมานานนับศตวรรษแล้วว่า เป็นสารให้ความชุ่มชื้นชั้นยอด ส่วนครีมจะบำรุงผิวร่วงโรย ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นและชุ่มชื่น ในขณะที่กรดซาลิไซลิกในสตรอว์เบอร์รี่ช่วยทำความสะอาดและกำจัดเซลล์ผิวที่ ตายแล้ว ผิวจะสดชื่นและสดใสขึ้นทันทีด้วยมาสก์ตัวนี้ หรือคุณอาจเปลี่ยนมาใช้โยเกิร์ตแทนครีมเพื่อช่วยสร้างความสมดุลของกรดด่างใน ผิว และอาจใช้ราสเบอร์รี่แทนสตรอว์เบอร์รี่ก็ได้ มาสก์โยเกิร์ตและราสเบอร์รี่จะเหมาะอย่างมากสำหรับผิวแพ้ง่าย และไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองสำหรับคนที่อาจแพ้สตรอว์เบอร์รี่

ถ้าทาครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดด (SPF) เข้านอน จะเป็นอันตรายหรือเปล่า?

ถ้าทาครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดด (SPF) เข้านอน จะเป็นอันตรายหรือเปล่า

Question:ถ้าทาครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดด (SPF) เข้านอน จะเป็นอันตรายหรือเปล่า?


Answer:ไม่ค่ะ​ถึงแม้คุณจะไม่ได้ต้องการการปกป้องจากแสงแดดในยามนอนหลับแต่ส่วนผสมที่ใช้ในการบล็อกรังสียูวี

เช่น​ Octyl​ Methoxycinnamate,​ Zinc​​ Oxide,​Titanium Dioxide และ Parsol 1789 จะไม่ทำลายผิวของคุณแพทย์ผิวหนังให้ข้อมูลเช่นนั้นและก็เป็นไปไม่ได้ด้วยที่ ผิวของคุณจะสร้างภูมิต้านทานสารกันแดดพวกนี้ขึ้นมาฉะนั้นถ้าจะทาก็ทาได้ตาม สบายเพียงแต่ถ้าคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวได้ง่ายพยายามใช้สูตรที่ปราศจาก น้ำมันและไม่อุดตันรูขุมขนเป็นดีที่สุด

สิวขึ้นรอบริมฝีปากจัดการกับมันอย่างไร

สิวขึ้นรอบริมฝีปากจัดการกับมันอย่างไร

Q ​ฉันมีสิวขึ้นรอบริมฝีปากอยู่เรื่อยเลย เป็นเพราะอะไรกันแน่ และมีวิธีไหนที่จะจัดการกับมันได้บ้าง?


A​ สิ่งที่อาจเป็นไปได้ก็คือ​ลิปกลอสของคุณอาจเป็นต้นตอของปัญหาสิวรอบปาก เนื่องจากมันสามารถอุดตันรูขุมขนบนผิวรอบริมฝีปากได้ พยายามใช้ลิปกลอสสีอ่อนใสเนื่องจากมีเม็ดสีน้อยกว่าจึงมีส่วนผสมที่อุดตันรู ขุมขนน้อยกว่าด้วยและลองมองหาแบบที่มีส่วนผสมหลักที่ระคายเคืองต่อผิวน้อย กว่าอย่างเช่นแพนธีนอลหรือน้ำมันมะกอกแต่ถ้าการเปลี่ยนลิปกลอสไม่ช่วยให้ดี ขึ้นสาเหตุอาจมาจากอย่างอื่น อย่างเช่นการใช้โทรศัพท์ที่สกปรกหรือน้ำมันจากอาหารมันๆที่ตกค้างอยู่รอบริม ฝีปากพยายามหลีกเลี่ยงต้นเหตุดังกล่าวและขจัดสิวด้วยการทาโทนเนอร์ที่มีส่วน ผสมของกรดซาลิไซลิกรอบๆขอบปากทุกครั้งที่ล้างหน้า

ความลับของผิวอ่อนเยาว์

ความลับของผิวอ่อนเยาว์

ใครๆก็อยากเป็นเจ้าของผิวอ่อนเยาว์แต่จะได้มาอย่างไรน่ะหรือ?


นอกจากการดูแลผิวอย่างเหมาะสมที่จะช่วยชะลอเวลาของการเกิดริ้วรอย แล้ว การหา “ตัวช่วย” ที่เชื่อกันว่าสามารถลดริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัย อื่นๆ เช่น ความหมองคล้ำและจุดด่างดำลงได้ ก็เป็นเคล็ดลับสำคัญอีกอย่าง หนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม วิตามินเอหรือสารอนุพันธ์ของวิตามินเออย่างเช่นเรติ นอล (ซึ่งจะมีผลข้างเคียงน้อยกว่าอนุพันธ์ตัวอื่นของวิตามินเอ) เป็นส่วนผสมที่มักถูกนำมาใช้เพื่อการนี้ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ที่ตายแล้วจึงช่วยลดปัญหาความหมองคล้ำและหยาบกร้านของผิวนอกจากนี้เรตินอ ลยังเร่งกระบวนการผลิตคอลลาเจนในผิวทำให้ผิวมีความกระชับยืดหยุ่นขึ้นและอาจ ทำให้ริ้วรอยเล็กๆจางลงได้ซึ่งควรใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาผลที่ดีเอาไว้ แต่เรตินอลอาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้นจึงต้องใช้ครีมกันแดดควบคู่กันไป ด้วยเสมอหรืออาจเลือกครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอลและสารกันแดดก็เป็นทางเลือก ที่สะดวกสบายและได้ผลเช่นกัน

10 เครื่องมือ Sex สำหรับผู้หญิง

10 Sexy Tools Every Woman Needs

อยากเร่งเครื่องชีวิตรักของตัวเองงั้นหรือเรามีรายงานพิเศษ

เรื่องของจำเป็นในห้องนอนที่จะเขย่าโลกของคุณซึ่งข้อดีก็คือ...คุณมีพวกมันส่วนใหญ่พร้อมอยู่แล้ว


1 หมอน
เมื่อเอามาวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมหมอนสามารถช่วยคุณให้อยู่ในท่าใหม่และ เพิ่มความหลากหลายให้แก่ท่าดั้งเดิมที่คุณโปรดปรานได้ เช่น ลองเอาหมอนรอง ไว้ใต้ก้นตอนทำท่ามิชชันนารี หรือเอามันไว้ระหว่างขาในระหว่างที่อยู่ใน ท่า Spoon (ท่าทีผู้ชายกอดคุณจากทางด้านหลัง)


2 ไวเบรเตอร์
คำถามไม่ใช่ว่าทำไมต้องหาไวเบรเตอร์มาใช้ด้วยแต่ต้องถามว่า--ก็ทำไมถึงจะไม่ หามาไว้ใช้สักอันเล่า คุณสามารถใช้มันกับตัวเองเพื่อสำรวจว่าอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกดี หรือใช้กับคู่รักของคุณเพื่อเพิ่มมิติใหม่ให้แก่เซ็กซ์ของทั้งคู่มีรายงาน ว่าผู้หญิงที่ใช้ไวเบรเตอร์มีระดับความพึงพอใจทางเพศกับคู่ของเธอเพิ่มขึ้น ความต้องการทางเพศที่เพิ่มขึ้นและออกัสซั่มได้ง่ายขึ้น


3 สารหล่อลื่น
ไม่เพียงแต่สารหล่อลื่นจะทำให้อะไรต่ออะไรไหลลื่นไปได้ง่ายขึ้นมันยังช่วย ให้เซ็กซ์กินเวลานานขึ้นและเพิ่มความคล่องตัวที่ทำให้ทดลองใช้ท่าต่างๆได้ ง่ายขึ้นด้วยสารหล่อลื่นสูตรน้ำเหมาะที่สุดถ้าคุณกลัวแพ้ ในขณะที่สูตรซิลิโคนจะคงประสิทธิภาพได้นานกว่า


4 คู่มือเซ็กซ์ดีๆ
ในเรื่องเซ็กซ์แล้วเราไม่อาจรู้เรื่องไปเสียหมดทุกอย่างนั่นจึงเป็นเหตุผล ที่คุณควรมีคู่มือเรื่องเพศดีๆเอาไว้ข้างกายสักเล่มเพื่อให้ความกระจ่างแก่ ตัวเองในเรื่องที่ข้องใจเกี่ยวกับสรีระหรือปฏิกิริยาบางอย่างของร่างกายแม้ แต่เทคนิคดีๆที่ผู้เชี่ยวชาญนำมาแบ่งปันอ่านไป จิบไวน์ไป หรือนำมาพูดคุยกับคู่รักของคุณไปพลางๆ


5 ของเล่นสุดสนุก
ไม่ว่าจะเป็นของน่ารักๆอย่างขนนก ผ้าพันคอ หรือวิปครีม หรือไม่ค่อยน่ารัก นัก เช่น แส้ กุญแจมือ ของเล่นเหล่านี้ช่วยเพิ่มรสชาติและความตื่นเต้นให้ แก่ฉากรักของคุณได้นอกจากนี้ยังมีของเล่นเซ็กซ์โดยเฉพาะที่มีจำหน่ายตาม เซ็กซ์ช็อปหรือแม้แต่ตามเว็บไซต์ที่คุณอาจลองแวะเข้าไปดูและเลือกสั่งมาลอง ใช้ดูบ้าง


6 เคเกล
การบริหารแบบเคเกลช่วยให้กล้ามเนื้อช่องคลอดและเชิงกรานของคุณแข็งแรงขึ้น ยิ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้แข็งแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ความรุนแรงของออกกัสซั่มของคุณก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น การบริหารกล้ามเนื้อเหล่านี้ยังทำทำให้การไหลเวียนโลหิตในช่วงเชิงกรานดี ขึ้นความชุ่มฉ่ำเพิ่มขึ้นซึ่งนำไปสู่ความตื่นตัวและความวาบหวามเพิ่มขึ้นและ คุณยังสามารถบีบรัดกล้ามเนื้อช่องคลอดในระหว่างมีเพศสัมพันธ์เพิ่มความสุข ทางเพศแก่เขาและคุณได้อีกด้วยวิธีการทำเคเกลก็คือ การเกร็งช่องคลอดเหมือน กับพยายามจะกลั้นปัสสาวะ จากนั้นก็คลาย แล้วทำซ้ำ


7 ซีดีเพลง
ทุกคนรู้ว่าดนตรีดีๆสามารถสร้างบรรยากาศโรแมนติกได้หัวใจสำคัญก็คือการหา เพลงที่ทำให้คุณเกิดอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นเพลงคลาสสิกอ่อนหวานหรือดนตรีจังหวะเร้าใจเพื่อหลีกเลี่ยงการ ถูกขัดจังหวะที่ทำให้เสียอารมณ์ หาเครื่องเล่นซีดีแบบต่อเนื่องหลายๆ แผ่น ที่จะปล่อยเสียงเพลงให้ดำเนินไปอย่างไหลลื่น


8 ชุดชั้นในเซ็กซี่
เช่นเดียวกับการใส่รองเท้าวิ่งทำให้เกิดอารมณ์อยากจะออกไปจ็อกกิ้งการใส่ชุด ชั้นในวาบหวามก็ช่วยให้คุณทั้งดูเซ็กซี่ขึ้นและรู้สึกเซ็กซี่ด้วย นี่เป็นคำ บอกเล่าจาก ดอเรียน โซล็อต ผู้เขียนหนังสือเรื่อง I Love Female Orgasm บอก เช่นนั้น และมันไม่จำเป็นต้องเป็นชุดชั้นในราคาแพงถึงจะใช้ได้ แค่ใส่อะไรก็ตามที่คุณรู้สึกมั่นใจในตัวเองและรู้สึกเซ็กซี่ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสายเดี่ยวกับกางเกงขาสั้น บราดันทรงกับกางเกงในสายเดี่ยว หรือชุดชั้นในผ้าซาตินแบบเต็มตัวกับรองเท้าส้นสูง คุณยังสามารถใช้ชุดชั้นในเพื่อเปลี่ยนบทบาทของตัวเองให้แตกต่างออกไปด้วยก็ ได้ เช่น อ่อนหวานหรือซุกซน ลองหาชุดชั้นในแบบที่พูดถึงตัวเองอย่างชัดเจนที่สุด แล้วนำเอามันมาใช้ในห้องนอนดูบ้าง


9 สื่ออีโรติก
สื่ออีโรติกสามารถทำให้คุณเกิดอารมณ์ และเป็นไอเดียอันบรรเจิดที่คุณสามารถ เอามาลองกับคู่รักของคุณได้ โซล็อตบอกเช่นนั้น และคำว่า “สื่ออีโรติก” ของเราก็หมายความถึงสื่อทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น หนังสือหรือหนัง ทั้งหนังรักซาบซึ้ง หรือหนังเรตอาร์แสนวาบหวาม หนังสือเรตเอ็กซ์ หรือแม้แต่นิยายโรแมนติกก็ตามที


10 ความซื่อสัตย์และจริงใจ
คุณไม่อาจเอาสิ่งนี้สอดไว้ใต้หมอนหรือใส่ไว้ที่ลิ้นชักหัวเตียงได้แต่ความ ซื่อสัตย์อาจเป็นเครื่องมือที่มีอานุภาพมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อใดก็ตามที่คุณเก็บงำอะไรเอาไว้ในใจมันจะสร้างกำแพงที่กั้นขวางระหว่าง คุณกับความสุขในห้องนอน ลองเปิดใจตัวเองกับคู่ของคุณ และสื่อสารกันให้มากที่สุด เพื่อให้ทุกฉากรักของคุณ ไม่ว่าจะมีของเล่นอะไรหรือไม่ก็ตาม เป็นฉากรักที่แสนยอดเยี่ยมทุกครั้งไป

สร้างเวลาแสนสุขบนเตียงนอน

http://content.mthai.com/upload_images/sex-pig-001.jpg


เวลาที่คุณอยู่ด้วยกันสองคนส่วนใหญ่ก็คือเวลาบนเตียงนอน เพราะฉะนั้นมาใช้มันให้เป็นประโยชน์ที่สุดดีกว่า


เรื่อง บนเตียงใช่แต่จะมีแต่เรื่องอย่างว่าและจะว่าไปแล้วกิจกรรมที่คุณทำบนเตียง นอนมากกว่าก็คือการนอนหลับ แต่การแบ่งปันที่หลับที่นอนกันไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอกนะและบ่อยครั้งคนเรา ก็มักจะปล่อยปละช่วงเวลาของการเข้านอนด้วยกันให้เปล่าประโยชน์ไปอย่างน่า เสียดายลองใช้เวลาที่คุณใช้อยู่ด้วยกันมากที่สุดนี้ให้กลายมาเป็นช่วงเวลา ที่มีความสุขที่สุดกันดีกว่า


สร้างกิจวัตรบนเตียง
ไม่ว่าจะเป็นการนอนกอดก่ายกันแบบสบายๆหรือการอ่านหนังสือด้วยกันการพูดคุย กันถึงเรื่องที่ผ่านมาในระหว่างวันหรือการสวดมนตร์ด้วยกัน กิจวัตรใดก็ตามที่คุณทำด้วยกันยามเข้านอน จะช่วยให้คู่รักสร้างความใกล้ชิดสนิทแน่นและทำให้หลับได้ง่ายขึ้น


เชื่อมโยงเวลาเข้านอนให้สัมพันธ์กัน
ช่วงเวลาเข้านอนสามารถเป็นโอกาสที่พิเศษอย่างมากในการสร้างความแนบแน่นแต่ น่าเสียดายที่มีเพียงคู่รักเพียง50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เข้านอนในเวลาใกล้เคียงกันถ้าการจัดตารางเวลาการเข้า นอนให้สอดคล้องกันเป็นไปไม่ได้สำหรับคุณ ลองหาเวลาสักสองสามนาทีในแต่ละคืนเพื่อที่จะได้สัมผัสและก่ายกอดกัน ก่อนที่ฝ่ายที่ชอบเข้านอนเร็วจะเข้านอน


ลดขนาดเตียง
ถึงแม้78เปอร์เซ็นต์ของคู่รักมักเลือกเตียงแบบคิงส์ไซส์หากส่วนใหญ่ต่างก็ เห็นด้วยว่าการสัมผัสร่างกายกันและกันในตอนนอนสำคัญอย่างมากในการรักษาความ สนิทแนบแน่นระหว่างกันฉะนั้น แทนที่จะเลือกเตียงขนาดคิงส์ไซส์พยายามเลือกเตียงขนาดควีนส์ไซส์เอาไว้ก่อน คิดง่ายๆก็คือยิ่งมีพื้นที่น้อยเท่าไหร่คุณก็จะยิ่งต้องนอนใกล้ชิดกันมาก ขึ้นเท่านั้น


นอนเปลือยกาย
คู่ที่เข้านอนโดยไม่ใส่อะไรเลยจะรู้สึกถึงความเป็นอิสระมากกว่าเช่นเดียวกับ ความรู้สึกดีๆของผิวกายเปลือยเปล่าที่สัมผัสกันและกันถ้ากลัวว่าลูกจะเข้ามา แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็หาเสื้อคลุมวางเอาไว้ใกล้มือพอที่จะหยิบมาใช้ได้ทัน ท่วงทีก็แล้วกัน


สื่อสารกันเสมอ
อยากได้หมอนเพิ่มอีกสักใบ หรืออยากให้เขาหรี่เสียงวิทยุลงสักหน่อยอะไรก็ตามที่คุณอยากได้คุณต้องสื่อ สารมันออกมาเสมอเพื่อที่จะได้นอนหลับอย่างสบายที่สุดฉะนั้นอย่ากลัวที่จะ ร้องขอหรือบอกให้คู่ของคุณได้รับรู้เตียงก็เป็นเสมือนอาณาจักรของคู่ชีวิต ที่คุณสองคนต้องช่วยกันเพื่อให้มันเป็นสถานที่อันแสนสุขของคุณทั้งสองคน อย่างเท่าเทียมกัน

เคล็ดลับเปลี่ยนสีผมด้วยตัวเองให้สวย

http://www.heresyourshampoo.com/wp-content/uploads/2008/04/healthy-hair2.jpg


ถ้าคุณเป็นสาวมือใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนสีผมด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก

หรือถึงแม้คุณจะเคยเปลี่ยนสีผมด้วยตัวเองมาก่อนแล้วแต่ยังทำได้ไม่ดีหรือ มีปัญหาที่ไม่คาดคิดตามมาด้วยเสมอเคล็ดลับพวกนี้สามารถช่วยคุณเปลี่ยนสีผม ด้วยตัวเองออกมาได้อย่างสวยงามราวกับมืออาชีพ

  • ตัดผมก่อนเปลี่ยนสี :
    ถ้าคุณมีเส้นผมแห้งเสียหรือแตกปลายก็ตัดเล็มซะให้ดีก่อนเปลี่ยนสีผมเพราะ เส้นผมที่แห้งเสียมักจะมีรูพรุนทำให้ดูดซับสีไว้มากกว่าเส้นผมส่วนที่เหลือ สีผมจึงอาจดูเข้มไม่เท่ากันได้
  • อย่าขี้เหนียว :
    ถ้าคุณมีเส้นผมยาวเกินไหล่ลงไปผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมเพียงกล่องเดียวก็อาจไม่ เพียงพอต่อความต้องการของคุณฉะนั้นก็ควรซื้อเพิ่มเป็นสองกล่องเพื่อที่คุณจะ ได้ชะโลมทาเส้นผมให้ทั่วทั้งศีรษะได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้สีผมดูสม่ำเสมอเท่ากันทั้งศีรษะ
  • เปลี่ยนสีทีละส่วน :
    แบ่งเส้นผมบนศีรษะออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆกันแล้วติดกิ๊บแยกเป็นส่วนๆเอาไว้จาก นั้นก็ทาผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมไปทีละส่วนจนครบทั่วทั้งศีรษะวิธีนี้จะทำให้ คุณรู้ได้ว่าเส้นผมส่วนไหนที่ทาไปแล้วและส่วนไหนที่ยังไม่ได้ทา

มีสิวขึ้นตรงบั้นท้าย จะทำยังไงดีคะ?

Q ฉันมีสิวขึ้นตรงบั้นท้าย แม้จะไม่มีใครมองเห็น แต่ก็ทำให้ฉันเป็นกังวลมาก จะทำยังไงดีคะ?

A นี่เป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดามากเพราะใครๆก็มักมีสิว ขึ้นในบริเวณนั้นด้วยกันทั้งนั้นเนื่องจากผิวบริเวณบั้นท้ายมักต้องสัมผัส กับกางเกงในอยู่ตลอดเวลารวมทั้งการใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ยากจนทำให้ เหงื่อออกและกลายเป็นแหล่งเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งทำให้ต่อมรากขนเกิดการอักเสบจนนำไปสู่การเกิดสิววิธีการรักษาก็ เหมือนกับการรักษาสิวบนใบหน้าหรือส่วนอื่นๆของร่างกายนั่นแหละ โดยจะต้องทำความสะอาดผิวอย่างหมดจดทุกวันแล้วทาด้วยผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มี ส่วนผสมของเบนซอยล์เพอร์ออกไซด์ นอกจากนี้ก็ควรใส่ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายซึ่งจะช่วยดูดซับความชื้นและ ระบายอากาศได้ดีกว่าและถ้าคุณมีเหงื่อออกมากจากการออกกำลังกายก็ควรรีบ เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าแห้งและสะอาดทันทีที่ออกกำลังกายเสร็จ

หลายเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพเซ็กซ์เป็นเรื่องที่แสนเรียบง่าย

http://images.craveonline.com/article_imgs/Image/sex_scars(1).jpg


หลายเรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์เป็นเรื่องที่แสนเรียบง่ายแต่อาจเป็นคุณเองนั่นแหละที่มองข้ามมันไป เพราะฉะนั้นลองมาทบทวนดูอีกทีดีมั้ยว่า อะไรคือภูมิปัญญาในเรื่องบนเตียงที่คุณควรจำไว้ให้ขึ้นใจ



1. ผู้หญิงทุกคนต่างมีท่าที่ทำให้ตัวเองมีความสุขได้อย่างแน่นอน--หาของตัวเองให้เจอ

ไม่ว่าจะด้วยการลองทำท่าใหม่ๆ การเอาท่าต่างๆ มาผสมผสานกัน หรือการเอาของเล่นเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ค้นหาให้ได้ว่าอะไรคือท่าที่ไม่มีวันผิดพลาดสำหรับคุณ หรือท่าที่คุณรู้ว่าคุณจะออกัสซั่มเสมอเมื่อใช้มัน


2. ...และท่านั้นอาจเปลี่ยนแปลงได้
บางทีในช่วงที่ยังอายุน้อยๆ คุณอาจชอบท่าที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง และของเล่นแปลกๆ แต่ตอนนี้คุณแสวงหาท่าที่ช่วยเชื่อมความรู้สึกระหว่างคุณกับเขาให้แนบแน่น (หรืออาจเป็นไปในทางกลับกันก็ได้) สิ่งที่คุณโหยหาทั้งร่างกายและจิตใจ สามาถเปลี่ยนไปได้ตามวันเวลา ลองใส่ใจในความรู้สึกของคุณ และดัดแปลงทุกอย่างให้เข้ากับคุณคนใหม่


3. เขาไม่มีมิเตอร์จับข้อบกพร่อง
มันอาจเป็นว่าคุณเองนั่นแหละที่เฝ้าแต่มองหาข้อบกพร่องต่างๆ ของตัวเอง เพราะในระหว่างที่เกิดความตื่นตัวทางเพศ เคมีในร่างกายของผู้ชายจะพุ่งพล่านจนพวกเขามึนงง และสนใจแต่อารมณ์อันรุนแรงเฉพาะหน้า จนไม่มีเวลาที่จะใส่ใจในข้อบกพร่องต่างๆ นานาบนร่างกายของคุณหรอก เก็บความกังวลในเรื่องรูปร่างหน้าตาตัวเองไปเสียเถิด แล้วคุณจะสนุกสนานได้แบบเดียวกับเขา


4. เซ็กซ์บนเตียงแสนนุ่มสบายไม่มีอะไรผิด
เซ็กซ์ในครัว ในห้องน้ำบนเครื่องบิน หรือในรถอาจฟังดูซู่ซ่า และเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี แต่ก็ไม่จำเป็นและไม่มีอะไรน่าอายเลย ที่จะชอบการมีเซ็กซ์บนเตียงแสนนุ่มสบายของคุณเอง


5. ทุกคนไม่ได้มีเซ็กซ์มากกว่า (หรือดีกว่า) คุณ
มันไม่มีปริมาณที่ถือว่า “ปกติ” ในการมีเซ็กซ์ที่เราทุกคนต้องยึดถือ ไม่มีตัวเลขที่คุณต้องทำตาม มีเพียงคำถามเดียวที่คุณต้องตอบก็คือ คุณมีเซ็กซ์มากพอสำหรับความต้องการของตัวเองหรือยัง


6. การขอในสิ่งที่คุณต้องการมีค่าที่จะยอมอาย
การเปิดปากในเรื่องที่คูณต้องการ อาจทำให้เกิดช่วงเวลาน่าอึดอัดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณได้รับแล้ว--มันก็มีค่าพอที่จะอายไม่ใช่หรือ


7. ยิ่งคุณมีเซ็กซ์มากแค่ไหน คุณก็ยิ่งต้องการมันมากเท่านั้น
มันง่ายมาก ความทรงจำอันแสนสุขที่เพิ่งผ่านไป จะทำให้คุณอยากได้มันอีก แต่ในทางกลับกัน ถ้าคุณห่างเหินมันนานเกินไป คุณก็จะลืมไปแล้วว่าคุณชอบเรื่องนี้มากแค่ไหน


8. มาสเตอร์เบตไม่ได้มีไว้สำหรับช่วงเวลาที่แห้งเล้งเท่านั้น
อย่างแรกมันสนุก แล้วอย่างที่สอง คุณเคยทำให้ตัวเองผิดหวังหรือเปล่าล่ะ ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่ายิ่งคุณออกัสซั่มบ่อยแค่ไหน คุณก็จะยิ่งอยากสนุกกับคู่ของคุณมากเท่านั้น


9. การกังวลถึงออกัสซั่มเป็นวิธีที่จะทำให้คุณไม่ออกัสซั่ม
เมื่อความคิดของคุณวุ่นวายคุณก็จะไม่มีสมาธิและเมื่อคุณล้มเหลว ก็จะทำให้เขาคิดว่าเขาบกพร่องด้วย ออกัสซั่มไม่ใช่เรื่องของความคิด มันเป็นเรื่องของความรู้สึก เพราะฉะนั้นเลิกใส่ใจว่าคุณจะออกัสซั่มหรือไม่ได้แล้ว แล้วคุณก็จะออกัสซั่มเอง


10. การวางแผนที่จะมีเซ็กซ์ เป็นเรื่องดีพอกับเซ็กซ์ที่เกิดแบบปัจจุบันทันด่วน
การเฝ้านึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็เป็นการปลุกอารมณ์แรกเริ่มที่ดีอย่างหนึ่งนะ


11. ใช่แล้ว คุณสามารถช่วยเขาได้
การสัมผัสตัวเองเพื่อเร่งอารมณ์วาบหวามในระหว่างที่คุณอยู่กับเขาไม่ใช่ เพียงแต่ทำได้แต่เขาจะชอบด้วย เพราะมันจะช่วยให้ทุกอย่างไหลลื่นขึ้น


12. เขาไม่ได้ต้องการให้คุณรู้เทคนิคพิสดารอะไร
มันมีหลายหนทางที่ทำให้ผู้ชายออกัสซั่มได้ตราบเท่าที่คุณใส่ใจในปฏิกิริยาของเขาและไม่ทำให้เขาเจ็บปวด คุณจะไม่ได้ยินเสียงบ่นแน่นอน


13. บางทีสิ่งที่ร่างกายคุณต้องการก็แค่การนอนหลับ
การว่างเว้นจากเรื่องเซ็กซ์บ้างไม่ได้หมายความว่าสัมพันธภาพของคุณกำลัง ย่ำแย่ มันแค่หมายความว่าคุณมีหลายเรื่องราวที่ต้องคิดคนเดียวบ้าง ฉะนั้น จะไม่มีเซ็กซ์เสียบ้างก็ไม่แปลกอะไรหรอก


14. เคเกลคือหัวใจสำคัญ
ท่าบริหารแบบเคเกลช่วยให้กล้ามเนื้อเชิงกรานของคุณแข็งแรงขึ้นทำให้คุณควบ คุมร่างกายได้ดีขึ้นในระหว่างมีเซ็กซ์ และทำให้ออกัสซั่มรุนแรงขึ้น


15. ความเจ็บปวดในระหว่างมีเซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องปกติ
ความรู้สึกไม่สบายเป็นครั้งคราวอาจหมายความว่าคุณเกร็งหรือไม่มีการเล้าโลม กันเพียงพอแต่ถ้าการมีเซ็กซ์ทำให้เจ็บปวดอยู่เป็นประจำ คุณก็ไม่ควรละเลยหรือเพิกเฉย มันอาจเป็นเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรร้ายแรง อย่างการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ หรือถ้ามีอะไรร้ายแรงกว่านั้น คุณจะได้รับมือกับมันอย่างฉับไว


16. ไม่ว่าอวัยวะส่วนตัวของคุณจะดูเป็นยังไง มันก็ถือว่าปกติมาก
ไม่ต้องให้เราดู--เราก็รู้นะ


17. เซ็กซ์คือวิธีที่เขาแสดงความรัก
มันเป็นปัญหาเก่าแก่โบราณกาลเราผู้หญิงต้องการความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ เพื่อที่จะอยากมีเซ็กซ์ขณะที่ผู้ชายต้องการมีเซ็กซ์เพื่อที่จะได้รู้สึกผ่อน คลายและสบายใจเช่นนี้และสำหรับผู้ชายส่วนใหญ่เซ็กซ์ยังเป็นรูปแบบหนึ่งของ การสื่อสารถึงอารมณ์ของพวกเขา ฉะนั้นจำไว้ว่าครั้งต่อไปที่เขาอยากจะมีเซ็กซ์หลังจากเพิ่งทะเลาะกันไปแหม็บ ๆเพื่อเป็นการขอคืนดี ทั้งที่คุณยังไม่หายโกรธแต่สำหรับเขาแล้ว เซ็กซ์ถือเป็นการขอสงบศึก และเป็นของขวัญแห่งความรักในหนึ่งเดียว


18. ไม่ว่าคุณจะอยากนอนกอดก่ายกับเขา หรืออยากหลับสักแค่ไหน คุณก็ต้องลุกขึ้นและไปฉี่หลังจากเซ็กซ์จบลงเสมอ
ทำไมน่ะหรือ เพื่อที่คุณจะได้ไม่มีโอกาสติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะยังไงเล่า


19. เขาจะกรนสนั่นเมื่อคุณกลับมา
การที่ร่างกายสร้างน้ำเชื้อขึ้นมาก่อนการหลั่งทำให้ร่างกายของผู้ชายตึง เครียดและเมื่อเขาปลดปล่อยมันออกมา ขาก็จะผ่อนคลาย รวมทั้งฮอร์โมนที่ทำให้อยากหลับก็จะหลั่งออกมา พูดง่ายๆ ก็คือ ช่วยไม่ได้ที่เขาจะหลับไปอย่างรวดเร็วแบบนั้น


20. เซ็กซ์จะดีขึ้นตามวัย
หรือตามการฝึกฝนหรือจากความคุ้นเคยกับคู่ของคุณหรือทั้งหมดที่ว่ามา พราะฉะนั้นอนาคตของเซ็กซ์ของคุณจะต้องดีขึ้นได้แน่นอน อย่าเพิ่งหมดหวังไปเลย

อาหารชะลอวัย 3 วัน 3 สไตล์

http://www.blogka.com/uploads/k/kann233/28163.jpg


You are what You Eat!!! วันนี้คุณรับประทานอะไรเข้าไป คุณก็จะเป็นอย่างที่คุณรับประทานนั่นแหล่ะ อาหารหลักแต่ละมื้อนอกจากจะช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยให้การทำงานต่างๆของร่างกายเป็นปกติแล้ว หากคุณเลือกอาหารที่มีคุณภาพดี ก็ยังอาจจะช่วยชะลอวัยของคุณให้ดูสดใสอ่อนวัยได้อีกด้วย

รายการอาหารชะลอวัยนั้น เราจะเน้นอาหารที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด เรียกว่าวัตถุดิบที่เราใช้ทำอาหารหน้าตาเป็นอย่างไร เราก็พยายามปรุงให้อยู่ในรูปนั้นให้มากที่สุด(Raw Food) เน้นบริโภคอาหารโปรตีนสูง จำพวกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วเหลืองหรือเต้าหู้ กรดไขมันจำเป็น เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันจากปลาทะเล และคาร์โบไฮเดรต หรือแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี จำพวกข้าวกล้อง มันฝรั่ง หรือหากผ่านการแปรรูปแล้วก็พยายามให้มีเส้นใยมากที่สุดมื้อเย็นควรเน้นผักและผลไม้ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีรสหวานเช่น น้ำอัดลม กาแฟ โอเลี้ยง ชาเย็น รวมไปถึงน้ำผลไม้เทียมทั้งหลาย และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ดีที่สุดคือดื่มน้ำสะอาดวันละ8-10 แก้ว นอกจากนี้ ไม่ควรรับประทานอาหารก่อนนอน4- 6 ชั่วโมง เช่น ขนมปังโฮลวีท เป็นต้น นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารกลุ่มแป้งและไขมันในมื้อเช้าหรือกลางวัน ส่วน

วิธีการปรุงอาหารก็สำคัญ หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนสูงเกินกว่า100 องศาเซลเซียส เช่นการทอด การอบ การย่าง และอาหารปิ้งจนไหม้เกรียม หันมาต้ม ตุ๋น หรือนึ่งจะดีกว่า

เราลองมาดูตัวอย่างรายการอาหารชะลอวัย 3วัน3สไตล์

อาหารไทย

เช้า โจ๊กข้าวกล้อง

ไข่ต้มยางมะตูม 1ลูก

ส้มเขียวหวาน1ลูก หรือส้มโอ 2กลีบ

กลางวัน สัมตำ ลาบปลาดุก อกไก่ย่างไม่เอาหนัง

ฝรั่ง3-4ชิ้น

เย็น ข้าวกล้อง

ปลากระพงนึ่งมะนาว หรือ ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว

ไข่ตุ๋น หรือ เต้าหู้ทรงเครื่อง

แกงสัมผักรวมกุ้งสด หรือ แกงเลียง หรือ ต้มยำปลาทูน้ำใส

ยำสมุนไพร หรือ ยำก้านคะน้า หรือ น้ำพริกลงเรือผักรวม หรือ ยำส้มโอ

ชมพู่3-4ชิ้น

อาหารฝรั่ง

เช้า ขนมปังโฮลวีท2แผ่น

ไข่ดาวน้ำ1-2ฟอง อกไก่รมควัน 1ชิ้นเล็ก

น้ำส้มคั้นสด1แก้ว

กลางวัน สลัดผักน้ำใส/อิตาเลี่ยนเดรสซิ่ง

เสต็กปลาแซลมอน

แอปเปิ้ล1ลูก

เย็น ซุปผักโขม/ซุปฟักทอง

สตูเนื้อกับมันฝรั่ง แครอท มะเขือเทศ

สลัดผลไม้รวม หรือ dark chocolate 1 ชิ้นเล็ก

อาหารญี่ปุ่น

เช้า เต้าหู้ ซุปมิโส หมี่เย็น

แคนตาลูป2-3ชิ้น

กลางวัน สุกี้ยากี้เส้นบุก(หมู หรือ เนื้อ หรือ ไก่ไม่ติดมัน)

แตงโม2-3ชิ้น

เย็น ซูชิหน้าปลาดิบ

ปลาหิมะย่างเกลือ/ปลาซาบะ

ยำสาหร่าย

ซุปกา ไข่ตุ๋น


แถมท้ายด้วยShopping Tips


1. เลือกไปเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตหลังรับประทานอาหารอิ่มแล้ว เพราะถ้าไปช็อปปิ้งอาหารตอนท้องหิว เรามักจะได้จั๊งค์ฟู้ด และขนมขบเคี้ยวทุกทีไป

2. มีรายการอาหาร (Stopping list) ที่ต้องการซื้อจริงๆ ไม่วอกแวก และเวียนไปซื้อขนมขบเคี้ยว

3. ตัดใจไม่ซื้ออาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว คุ้กกี้ซอง ไม่ต้องซื้อเผื่อ “อยาก”

4. พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการแปรรูปให้มากที่สุด เช่น อาหารกระป๋อง อาหารที่ผ่านการถนอม อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป บรรจุในถุงหรือห่อพลาสติก เลือกอาหารที่มีสภาพตามธรรมชาติ

5. ลองมองของในตะกร้า หรือในรถเข็นของเรา พยายามให้มีผักและผลไม้เกินครึ่งหนึ่ง(ให้เป็นเสียงข้างมากเข้าไว้ ขานรับนโยบายผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง)

หลักการง่ายๆแค่นี้ เผื่อวันหลังน้องแคชเชียร์ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต อาจเปลี่ยนจากเรียกเราว่า “ป้า” ไปเป็น “พี่คะ รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?

บำรุงผิวพรรณชะลอความแก่

http://images.thaiza.com/27/27_20070925153408..jpg




ผิวพรรณที่เปล่งปลั่ง กระชับ เรียบเนียน สะท้อนถึงการมีบุคลิกภาพที่ดีและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ ทั้งยังสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็น ผิวพรรณถือเป็นด่านแรกสุดของร่างกายมีหน้าที่เป็นเกราะกำบังต่อสิ่งแปลกปลอมจากสิ่งแวดล้อมภายนอกและป้องกันอันตรายต่างๆ ไม่ให้กระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายใน ดังนั้นการดูแลผิวพรรณจากภายนอกจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ หากปล่อยปละละเลย ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า รอบดวงตา ผิวพรรณขาดความชุ่มชื่น ยืดหยุ่นคงมาเยือนในไม่ช้า เพราะผิวหน้าของเราต้องเจอมลภาวะที่มาทำร้ายผิวพรรณอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะได้จากฝุ่น ควัน รังสียูวี สารเคมี หรือมลพิษต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เราจึงพบสารช่วยชะลอริ้วรอย(Anti-Aging) ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลากหลายชนิด เพื่อให้ผิวคงความนุ่มชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่น เต่งตึงกระชับ ปราศจากริ้วรอย ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผิวเมื่อยังเยาว์ซึ่งเป็นผิวที่เราปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของ ปัจจุบันมีสารช่วยชะลอริ้วรอยที่พบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่สำคัญได้แก่


Moisturizers


มอยซ์เจอไรเซอร์หรือครีมบำรุง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสารเพิ่มความชุ่มชื้นไว้กับผิว โดยป้องกันการสูญเสียน้ำที่หล่อเลี้ยงผิว ช่วยลดริ้วรอยจากความแห้งกร้าน เนื่องจากความชุ่มชื้นเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อสภาพผิว เมื่อผิวสูญเสียความชุ่มชื้นก็จะเกิดเป็นริ้วรอย หยาบกร้าน สีผิวไม่สม่ำเสมอ สำหรับการเลือกใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ควรเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น หากมีผิวแห้งมาก มอยซ์เจอไรเซอร์ที่ใช้ก็ควรมีสัดส่วนของน้ำมันมากกว่าน้ำ เป็นต้น



Vitamin A

รูปแบบของกรดวิตามิน เอ ที่มีประสิทธิภาพ คือretinoic acid หรือtretinoinซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูเซลล์ผิว ทำให้ริ้วรอยตื้น ๆ จางลง ลดเลือนสีผิวไม่สม่ำเสมอและจุดด่างดำ ทั้งมีช่วยปรับสภาพของรูขุมขนให้ทำงานได้เป็นปกติ ช่วยลดการเกิดสิวอุดตันได้อย่างไรก็ตาม กรดวิตามิน เอ อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนังได้ง่าย จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง



Vitamin B

รูปแบบของวิตามิน บี ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือVitamin B3 หรือNiacinamideเป็นสารที่ช่วยให้เซลล์ทำงานได้เป็นอย่างเป็นปกติ โดยช่วยกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ เสริมการสร้างไขมันและเพิ่มระดับceramideในชั้นผิวหนังกำพร้า ซึ่งช่วยลดการสูญเสียน้ำในเซลล์และเสริมชั้นเกราะป้องกันของผิว ดังนั้น Vitamin B3 จึงมีส่วนช่วยลดเลือนริ้วรอยจากความแห้งกร้านได้เช่นกัน



Vitamin C

นอกจากจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังมีการวิจัยมากมายที่สามารถยืนยันประสิทธิภาพของวิตามิน ซี ในการเสริมสร้างการสังเคราะห์คอลาเจน ช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพของเกราะปกป้องผิว ลดการอักเสบของผิว และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น



Vitamin E

วิตามิน อี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และด้วยความที่สามารถละลายในน้ำมัน จึงมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะมาทำร้ายเยื่อหุ้มเซลล์ นอกจากนี้ยังเสริมประสิทธิภาพของสารกันแดดและป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์อีกด้วย ทำให้ผิวแข็งแรงซึ่งเป็นพื้นฐานของการชะลอริ้วรอย



Alpha-Hydroxy Acids (AHA)

AHAหรือกรดผลไม้ เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกไป สามารถกระตุ้นกระบวนการผลิตเซลล์ผิวใหม่ให้เร็วขึ้น ช่วยให้ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลงการใช้ AHAยังไปกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินในชั้นหนังแท้ จึงช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ลดรอยแผลเป็นอย่างได้ผล



Coenzyme Q10

ชื่ออย่างเป็นทางการคือUbiquinoneเป็นสารตามธรรมชาติที่พบได้ในผิวของคนเรา สามารถละลายได้ดีในน้ำมัน มีหน้าที่เป็นตัวช่วยในทำงานของเอนไซม์ในร่างกายในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์ นอกจากนี้ Coenzyme Q10 ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติช่วยชะลอความเสื่อมชราภาพและริ้วรอยก่อยวัยและพบว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้นร่างกายจะสามารถสร้างCoenzyme Q10จะลดน้อยลงทำให้กระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ก็เสื่อมถอยตามลงไป



Sun protection

การป้องกันและชะลอริ้วรอยที่ดีที่สุดคือการปกป้องผิวจากแสงแดด ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่าSPF 15อย่างน้อย15ที่สามารถกันได้ทั้งUVA และUVBหากมีกิจกรรมที่เหงื่อออกมาก ควรทาซ้ำทุก 2-3ชั่งโมง และหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดในช่วงเวลา10.00-16.00 น.



โดยสรุปแล้วครีมบำรุงผิวพรรณเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ และที่สำคัญต้องเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าด้วย แล้วคุณจะเป็นคนหนึ่งที่สามารถอวดผิวสวยให้ใครต่อใครชื่นชมจนอิจฉาคุณเลยทีเดียว

คลายเครียดและ การพักผ่อนชะลอความแก่

ความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้จะไม่ใช่สิ่งผิดปกติ แต่ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะถ้าเราต้องวนเวียนอยู่กับความเครียด จิตใจก็จะไม่เป็นสุข ทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข รวมทั้งผู้คนรอบข้างก็พลอยไม่เป็นสุข แถมยังมีความแก่เกิดขึ้นอีกด้วย ดังนั้นหากเราสามารถบริหารจัดการกับความเครียดได้ก็นับว่าเป็นยาขนานเอกที่ช่วยชะลอความแก่ได้


ความเครียดส่งผลให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งอาการที่พบของความผิดปกติทางร่างกาย เช่น หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่ม มือเท้าเย็น เหงื่อออกตามมือตามเท้า หายใจตื้นและเร็ว ใจสั่น ถอนหายใจบ่อย การใช้พลังงานของร่างกายเพิ่มขึ้น รู้สึกเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องผูกหรือท้องเสีย นอนไม่หลับหรือง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ผิวหนังเป็นผื่นคัน เป็นหวัดบ่อย แพ้อากาศง่าย ฯลฯ ส่วนอาการที่พบความผิดปกติทางจิตใจ เช่น หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ หงุดหงิด โกรธง่าย วิตกกังวล คิดฟุ้งซ่าน เบื่อหน่าย ซึมเศร้า เป็นต้น


หากปล่อยไว้นานวันเข้าอาจทำให้เกิดเป็นความเครียดสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สุขภาพอ่อนแอ และก่อให้เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เพราะในภาวะเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความเครียดออกมา นั่นคือ สารอะดรีนาลีนและนอร์อะดรีนาลีน ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของโรคที่นำไปสู่ความชราเร็วขึ้น เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า หดหู่ ฯลฯ ดังนั้นควรทำจิตใจให้แจ่มใสและพยายามคิดในแง่บวกอยู่เสมอ(Positive thinking)


สำหรับวิธีการผ่อนคลายความเครียด มีด้วยกันหลายวิธี ลองหากิจกรรมที่ชื่นชอบไว้คลายเครียด อาทิเช่น ร้องเพลง ฟังเพลง เล่นดนตรี เต้นรำ ปลูกต้นไม้ เล่นกีฬา วาดรูป เดินชอปปิ้ง สปา นั่งสมาธิ เป็นต้น


ส่วนวิธีที่ง่ายและและคลายเครียดได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่น้อยกว่าวันละ 8ชั่วโมง รวมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งให้ผลดีต่อสุขภาพแล้วยังคลายเครียดได้เป็นอย่างดี


แม้ว่าเราจะมีอายุเพิ่มขึ้น ก็ยังจำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ8 ชั่วโมง แต่คนส่วนใหญ่มีเวลาการนอนเฉลี่ยประมาณ6-8 ชั่วโมง ทั้งนี้การนอนหลับพักผ่อนไม่พียงพอส่งผลต่อสุขภาพมากมายเกินกว่าจะนึกถึง นอกจากจะทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนตอนกลางวันแล้ว ยังมีผลต่อการใช้ความคิด การใช้เหตุผล เพราะสมองทำงานได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ยังส่งผลต่ออารมณ์ ขาดสมาธิ และทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคลดลง รวมทั้งความสามารถในการรับความเครียดน้อยลงเช่นกัน และที่สำคัญทำให้เราแก่เร็วขึ้น


นอกจากนี้เวลาที่นอนน้อยลง อาจทำให้มีน้ำหนักเพิ่มมากชึ้นด้วย ทั้งนี้เพราะเมื่อร่างกายผักพ่อนไม่เพียงพอจะเกิดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)ซึ่งจะไปกระตุ้นให้มีการสะสมของไขมันส่วนเกินมากขึ้น ทำให้อ้วนง่ายขึ้น


http://pirun.ku.ac.th/%7Eb4915043/c62d1aa85c57913.jpg
การนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเมลาโตนิน(Melatonin)และเซโรโตนิน(Serotonin)ในร่างกาย พบว่าการนอนหลับตั้งแต่ช่วงเวลา22.00-06.00น.เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับตัวได้ดี เนื่องจากฮอร์โมนเซโรโตนินจะถูกหลั่งตอนเที่ยงคืน นอกจากนี้ฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งมีผลกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ป้องกันการเกิดมะเร็งและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และที่สำคัญที่สุดควรฝึกวินัยในการนอนให้เป็นปกติทุกวัน


เพื่อให้นอนหลับง่ายขึ้นควรออกกำลังกายร่วมด้วย สัปดาห์ละ 3-4วัน โดยออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องประมาณ30-45 นาที เป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่มีประโยชน์รวมทั้งฮอร์โมนแห่งความสุขด้วย(Endorphin)ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า รวมทั้งช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายความเครียด ทำให้หลับสบายขึ้นได้เป็นอย่างดี
จะเห็นได้ว่าความเครียดและ การนอนไม่พอมีผลต่อร่างกายและจิตใจ ดังนั้นหากรู้สึกเครียดหรืออดหลับอดนอนเมื่อไหร่ ควรรีบหาวิธีผ่อนคลายความเครียดกัน ก่อนที่โรคร้ายต่างๆ และ ความชราจะมาเยือน

ดัชนี้ชี้ความชรา(About Aging Indicators)

http://www.thelifeofluxury.com/images/kinetin_anti_aging.jpg

สำหรับดัชนีที่ใช้วัดว่าคุณเข้าสู่วัยชราหรือยังนั้น จริงๆ แล้วไม่ยากนักที่จะบอก เพราะไม่ว่าจะมาจากตำราไหนก็ตาม การดูจากอายุจริงของคุณก็สามารถตัดสินได้ว่า คุณเข้าข่ายเป็นผู้สูงอายุหรือไม่ ตัวอย่างของบ้านเรานั้น กลุ่มผู้สูงอายุ (Old-aged) จะหมายถึงผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป แต่ในบางประเทศอย่างเช่นอเมริกา ผู้สูงอายุก็จะหมายถึงผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป เกณฑ์เหล่านี้อาจใช้เป็นเกณฑ์คร่าวๆ ที่ตัดสินว่าคุณเป็นผู้สูงอายุหรือยัง


ทีนี้เราลองมาดูกันที่เรื่องของความแก่กันบ้าง หากจะเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า วันนี้คุณคิดว่าคุณแก่แล้วหรือยัง? ข้อนี้มั่นใจได้เลยว่า คงจะมีน้อยรายนักที่จะยอมรับว่าตัวเองแก่ เพราะแท้จริงแล้วความแก่นั้นไม่ใช่แค่เรื่องของอายุที่มากขึ้นเท่านั้น แต่จะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่จะยอมรับว่าตัวเองแก่แล้ว ถ้าจะให้อธิบายง่ายขึ้นก็คือ แม้ว่าคุณจะเข้าข่ายเป็นผู้สูงอายุก็ตาม แต่ถ้าคุณยังฟิตปั๋ง หัวใจยังกระชุ่มกระชวยอยู่ตลอดเวลา เราฟันธงได้เลยว่า คุณก็ยังไม่แก่หรอก แต่อย่างไรก็ตาม ความเสื่อมของร่างกายก็เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราแก่หรือยัง


ความแก่ชราที่จะเกิดขึ้นนั้นอาจจะแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างอาทิเช่น การดูแลตัวเองทางด้านอาหาร พันธุกรรม การออกกำลัง และภาวะทางอารมณ์ รวมทั้งอวัยวะแต่ละอย่างในแต่ละคนก็อาจจะเสื่อมเร็วช้าแตกต่างกันไปด้วย โดยทั่วไปลักษณะที่แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ มีดังนี้


1.ผิวพรรณเมื่อคุณมีอายุเพิ่มมากขึ้นผิวพรรณจะเริ่มแห้ง หยาบกร้าน ขาดความชุมชื่น เปล่งปลั่ง ไม่มีน้ำมีนวลเหมือนก่อน รวมทั้งริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำก็อาจจะตามมาได้


2. สมองและความจำหากคุณเริ่มมีอาการขี้หลงขี้ลืม หรือเริ่มจะจำอะไรไม่ดีเหมือนก่อนคุณอาจเริ่มบอกตัวเองได้แล้วว่า ความแก่กำลังมาเยือนคุณเข้าแล้ว


3.การมองเห็นแน่นอนว่าสายตาฝ้าฟาง หรืออาการสายตายาวอาจเป็นของคู่กันกับความชราภาพ นอกจากนี้จะสังเกตว่า ผู้ที่อายุยิ่งมาก ความแวววาวของดวงตาจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับวัยหนุ่มสาว


4. การฟังก็เป็นเช่นเดียวกับการมองเห็น นั่นก็คืออาการหูตึง หรือได้ยินไม่ชัดเจนเหมือนก่อนโดยปกติการรับฟังเสียงที่มีความถี่สูงจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดและพบได้บ่อยในผู้สูงอายุเพศชาย


5. ระบบย่อยอาหารอันดับแรกคงจะเป็นที่ลิ้นกับฟัน อาทิเช่นฟันร่วงเกือบหมดทั้งปากจนต้องใช้ฟันปลอมช่วยเคี้ยวอาหาร หรือ การรับรสอาหารที่มักจะรู้สึกจืดไปหมดเนื่องจากต่อมรับรสของผู้สูงอายุเหล่านี้อาจจะเสื่อมไปตามกาลเวลา นอกจากนี้ระบบการย่อยอาหารอาจจะแปรปรวน มีตั้งแต่ท้องผูกไปจนถึงท้องเสียได้ง่ายในผู้สูงอายุหลายรายเมื่อรับประทานอาหารที่ย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ ผักดิบ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่ายกว่าปกติ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าผู้สูงอายุมีเอนไซม์ย่อยอาหารลดลง หรือในผู้สูงอายุบางรายอาจจะมีปัญหาในเรื่องการย่อยอาหารประเภทไขมัน เนื่องจากการทำงานของตับซึ่งทำหน้าที่ผลิตน้ำดีลดลง ทำให้มีปริมาณน้ำดีในถุงน้ำดีน้อยกว่าปกติ ผลเสียก็จะมีตั้งแต่ อาการถ่ายเหลวไปจนถึงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่ายขึ้น


6. ระบบหายใจเริ่มตั้งแต่ความสามารถของปอดในการบรรจุอากาศเข้าไปซึ่งจะลดลงมากกว่า 40% เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ และจะลดลงมากยิ่งขึ้นหากเป็นผู้สูงอายุที่มีประวัติสูบบุหรี่จัด หรือขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


7.ระบบกล้ามเนื้อและกระดูกทั้งมวลกระดูกและกล้ามเนื้อจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่จะไปเพิ่มมวลไขมันซึ่งจะไปสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายแทน โดยในผู้สูงอายุเพศชายมักจะมีไขมันสะสมตามหน้าท้อง ขณะที่ในเพศหญิงมักจะไปสะสมตามสะโพกและต้นขา นอกจากนี้ในสตรีสูงวัยอาจจะต้องระมัดระวังในเรื่องของมวลกระดูกที่ลดลงอย่างมากภายหลังการหมดประจำเดือน ทั้งนี้เนื่องจากความสามารถในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกลดลง จึงทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน


8. ระบบทางเดินปัสสาวะตัวชี้วัดที่พบได้บ่อยจะเป็นเรื่องของการกลั้นปัสสาวะไม่ดี ปัสสาวะราด ไปจนถึงปัสสาวะไม่ออกสำหรับในคุณผู้ชายอาจจะมีสาเหตุมาจากภาวะต่อมลูกหมากโต ซึ่งมักจะพบในผู้ที่อายุล่วงเข้า 50 ขึ้นไป โดยต่อมลูกหมากที่โตขึ้นจะไปขัดขวางท่อทางเดินปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออก ใช้เวลาเบ่งนาน หรือปัสสาวะไม่สุด หรือมีน้ำปัสสาวะไหลเป็นหยดๆ


9. ระบบสืบพันธุ์สำหรับคุณผู้ชายอาจมีปัญหาเรื่องอวัยวะเพศไม่แข็งตัว หรือแข็งตัวช้า จนส่งผลให้เกิดปัญหาของการมีเพศสัมพันธุ์ หรือไม่ก็ประคับประคองไปจนตลอดรอดฝั่งสำเร็จแต่น้ำอสุจิไม่สามารถพุ่งแรงเหมือนแต่ก่อน โดยอาจจะออกมาเป็นหยดๆแทนอาการเหล่านี้บ่งชี้ได้ว่าคุณเริ่มจะแก่เสียแล้ว สำหรับคุณผู้หญิงนั้น การหมดประจำเดือนอาจจะเป็นตัวชี้วัดถึงการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ เนื่องจากว่าหลังจากหมดประจำเดือนเมื่อใด ลักษณะของความเสื่อมโทรมในคุณผู้หญิงก็อาจจะปรากฎให้เห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องมาจากฮอร์โมนเพศที่ลดต่ำลงนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ผิวหนังหยาบกร้าน ไม่มีน้ำมีนวล หรือปากช่องคลอดแห้งเป็นต้น


10. บุคลิกภาพโดยปกติแล้วสำหรับผู้ใหญ่วัยทำงาน มักจะมีความสุขุมเยือกเย็น รู้จักคิด มีเหตุผลและมีความรอบคอบมากกว่าสมัยหนุ่มสาวที่จะเป็นวัยแห่งความโลดโผน แต่หากมีลักษณะของอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วก็อาจจะเป็นตัวชี้วัดที่บอกว่าคุณนั้นเริ่มจะแก่เสียแล้ว นอกจากนี้ยังมักจะมีเรื่องของอารมณ์อันหดหู่ มีความวิตกกังวลและซึมเศร้าได้ง่าย รวมไปถึงการย้ำคิดย้ำทำซึ่งอาการที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเกิดได้จากหลายๆสาเหตุร่วมกัน


ด้วยเหตุนี้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งทางร่างกายและจิตใจก็ตามนั้น สามารถที่จะเป็นตัวบ่งชี้ที่จะบอกได้ว่า คุณนั้นเริ่มจะแก่เสียแล้ว แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ แม้ว่าอายุของเราจะเพิ่มขึ้นทุกปีๆก็ตาม แต่หากเรารู้จักดูแลตัวเองให้ดี มีภาวะโภชนาการที่ครบถ้วน มีการออกกำลังกายและการพักผ่อนที่เพียงพอ รวมทั้งมีสุขภาพจิตที่ดี เราก็จะสามารถอยู่ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆและความชราภาพก่อนวัย รวมทั้งยังมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงแม้ว่าอายุของเราจะล่วงเลยไปไหนต่อไหนแล้วก็ตาม


Reference: Robert E. Ricklefs, Caleb E. Finch, AGING, A natural history of Life Span,Scientific American Library2002 Seymour Bakerman, Aging Life processes, Springfield Publisher,1989

ความชราภาพคือะไร?(What is Aging?)

http://www.topnews.in/files/aging222.jpg

เปิดประเด็นมาที่เรื่องของความแก่(Aging)ความชราภาพ(Senescence)ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายคงออกอาการสะดุ้งโหยงกันเป็นแถว ครั้นถูกถามถึงอายุอานามเข้า ก็อาจมีคำตอบว่า สามสิบกว่าบ้าง สามสิบปลายๆ บ้าง หรือไม่ก็คำตอบยอดฮิตอย่าง อายุเป็นเพียงตัวเลขจ๊ะ และจริงๆ อายุก็คงจะเป็นตัวเลขอย่างที่หลายๆ คนว่ากันไว้ เพราะเหตุผลอะไรเดี๋ยวมาดูกัน

เมื่อไม่นานมานี้มีนักวิจัยได้ศึกษาการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของคนกลุ่มหนึ่งแบบระยะยาว(Longitudinal Study of Aging) โดยมีตัวแปรที่แตกต่างกัน คือ เรื่องของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอารมณ์อันแจ่มใส แน่นอนว่า ผู้ที่มีอารมณ์ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีก็ย่อมจะคงความอ่อนเยาว์ได้นานกว่าผู้ที่มีแต่ความเครียด อารมณ์บูดบึ้งอยู่เสมอ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจมากขึ้นก็คือ กลุ่มคนนี้มีผลการทำงานของหัวใจเทียบเท่าผู้ใหญ่ในวัย40ทั้งที่อายุจริงนั้นปาเข้าไป60กว่าแล้ว ดังนั้นผลสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้ก็คือ ทั้งเรื่องของความแก่และความชราภาพของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายนั้นต้องมีความสัมพันธุ์โดยตรงกับวิถีทางในการดำเนินชีวิตเป็นแน่แท้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า อะไรทำให้เราดูแก่เกินวัยเหลือเกิน

1. The Free Radical Theory ว่ากันว่าความแก่หรือความเสื่อมของร่างกายเป็นผลพวงมาจากกระบวนการเผาผลาญ สันดาปหรือกระบวนการทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นภายในร่างกายนั่นเอง ซึ่งจะมีการผลิตหรือปล่อยสารที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ (Free radical) อยู่ตลอดเวลา สารเหล่านี้ถ้าหากปล่อยไว้หรือมีจำนวนมากเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้จะทำให้ เกิดการทำลายเนื้อเยื่อตนเอง ส่งผลให้ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายลดลงเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อมีอายุมากขึ้นความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระก็ยิ่งลดลง ส่งผลให้ร่างกายแก่ก่อนวัยอันควร

2.พันธุกรรมเรื่องนี้คงไม่ต้องไปกังวลอะไรมากนัก ปล่อยให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ หากคุณเกิดมาพร้อมกับใบหน้าสวยใส จงคิดว่านั่นคือของขวัญที่พระเจ้าประทานมาให้คุณเป็นพิเศษ คุณอาจจะดูแลตัวเองให้ดี ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนทั้ง5หมู่ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยชะลอความแก่ชราได้เป็นอย่างดี

3.พฤติกรรมการบริโภคคำกล่าวที่ว่า “You are What you eat” นั้นก็คงจะใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย เพราะสิ่งที่คุณรับประทานเข้าไปนั้นจะเป็นตัวสะท้อนถึงความมีสุขภาพที่ดีในภายภาคหน้า สำหรับบรรดาอาหารที่เร่งให้เกิดความแก่ชรานั้นคงหนีไม่พ้น อาหารไขมันสูงโดยเฉพาะอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงซึ่งมักพบได้ในไขมันสัตว์ หรือ น้ำมันพืชแต่มีการใช้ทอดอาหารซ้ำไปซ้ำมาบ่อยครั้ง ผลที่เกิดขึ้นก็คือ น้ำมันเหล่านี้เต็มไปด้วยอนุมูลอิสระ(Free Radicals) ที่สามารถเร่งให้เซลล์และอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเสื่อมโทรมเร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ก็จะมีตัวเร่งความแก่ชราที่อาจมาจากพฤติกรรมการสูบบุหรี่จัด การดื่มสุราเป็นประจำ หรือการรับประทานของหมักดองหรืออาหารที่มีการปนเปื้อนสารพิษเป็นต้น

ปัจจัยจากการบริโภคนั้นถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลโดย ตรงต่อความมีสุขภาพดีและอายุยืนนาน เนื่องจากมีงานวิจัยที่ศึกษาความมีสุขภาพดีและการมีอายุยืนนานของชาวญี่ปุ่น ที่เติบโตในสภาพแวดล้อมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมกับที่เติบโตในแถบอเมริกา ผลการศึกษาพบว่า ชาวญี่ปุ่นที่ถูกเลี้ยงดูแบบสังคมตะวันตกมีรูปแบบของช่วงอายุขัยและอัตราการ เกิดมะเร็งเต้านมแตกต่างจากชาวญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้การบริโภคของชาวญี่ปุ่น อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เต้าหู้ ธัญพืช และเนื้อปลาทะเลจึงน่าจะมีความสัมพันธุ์โดยตรงกับการป้องกันการเกิดโรคร้าย แรงต่างๆ

4.ภาวะทางอารมณ์และความเครียดก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความแก่ชรา เมื่อใดก็ตามที่มีความเครียด หรืออารมณ์บูดบึ้งเศร้าหมอง ระบบประสาทอัตโนมัติในร่างกายก็พร้อมที่จะหลั่งสารสื่อประสาทและฮอร์โมนต่างๆ ออกมารับมือกับความเครียด ผลที่เกิดขึ้นคือ นอกเหนือจากใบหน้าทื่ไม่อาจเก็บอารมณ์อันแสนจะหงุดหงิดต่อไปได้อีก คุณยังอาจได้รับของแถมชั้นดีอย่างเช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งความทรุดโทรมของร่างกายและความชราก่อนวัยที่อาจจะมาเยือนคุณอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ หากคุณเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ที่แจ่มใส จิตใจเบิกบาน และหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขได้ทุกครั้ง จงรู้ตัวเถอะว่า คุณมีอาวุธสำคัญที่จะช่วยป้องกันความแก่ชรามากกว่าคนอื่นหลายเท่าแล้ว ที่เหลือก็คือ การดูแลตัวเองให้ได้อย่างที่เรากล่าวไว้ข้างต้นเพื่อสุขภาพที่ดีและมีอายุยืนนานนั่นเอง


Reference: Robert E. Ricklefs, Caleb E. Finch, AGING, A natural history of Life Span,Scientific American Library2002

9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์

http://webhost.cpd.go.th/ewt/poetaram/images/image024.gif

ใครอยากสมองไบรท์ฟังทางนี้ เรามี 9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์มาบอก ...

1. จิบน้ำบ่อย ๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ สมองใช้ออกซิเจน 20 25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีสมองไบร์ท ลองนำไปฝึกกันได้

ดื่มน้ำตอนไหนดีที่สุด

http://consumersouth.org/upload/pics/pic000035.jpg

คุณทราบหรือไม่ว่าการดื่มน้ำก็ต้องมีเวลาที่ดื่มแล้วให้ประโยชน์สูงสุดเหมือนกัน วันนี้ขอนำเรื่องนี้มาฝากคะ

- ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ

- ตอนสาย ๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป

- ตอนบ่าย ๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)

- ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม)

- ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น

การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย และก็ควรดื่มให้ได้อย่างน้อย วันละ 8-10 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดี.

ลักษณะอุจจาระบ่งบอกถึงสุขภาพ

http://www.pieam.com/picture/1_1093.jpg
ใครหลายคนอาจจะไม่เคยสังเกตว่า อุจจาระที่ถ่ายออกมามีลักษณะอย่างไร หรือถ้าเคยสังเกตก็อาจไม่ทราบว่า ลักษณะของมันสามารถบอกถึงสุขภาพของเราอย่างไร ดังนั้นเราจึงหาข้อมูลมาบอกให้รู้ เพื่อที่จะได้ลองกลับไปสังเกตว่า สุขภาพเราแข็งแรงดีหรือไม่?โดยปกติอุจจาระหนึ่งในสี่ส่วนจะแข็งและสามในสี่ส่วนจะเป็นน้ำ ส่วนที่เป็นน้ำหนักอุจจาระ ประมาณ 30%เป็นแบคทีเรียที่ตายแล้ว และ 70%เป็นกากอาหารที่เหลือจากการย่อยของคาร์โบไฮเดรท ไขมัน โปรตีนและอื่น ๆ ลักษณะของอุจจาระขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทานเข้าไป และยังมีผลต่อระบบทางเดินอาหารของเราทั้งสิ้น ลักษณะของอุจจาระมี 2แบบหลักๆ ดังนี้

1.ลักษณะของอุจจาระปกติ(Normal Characteristics of Stool)

อุจจาระปกติมีน้ำสีน้ำตาลอ่อนจนถึงน้ำตาลเข้ม ลักษณะอ่อนนุ่มตั้งแต่เด็กโตจนเป็นผู้ใหญ่ สำหรับเด็กเล็กอุจจาระอาจจะเป็นสีเหลืองเข้มขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่รับประทาน อุจจาระที่ปกติมักจะมีสีอยู่ระหว่างเขียว-เหลือง-น้ำตาล

2.ลักษณะของอุจจาระผิดปกติ(Abnormal Characteristics of Stool) มีดังนี้

2.1.การที่มีเลือดในอุจจาระซึ่งเมื่อพบอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ จะต้องรีบรายงานให้แพทย์ทราบ และบันทึกไว้ในแฟ้มรายงานของผู้ป่วย

2.1.1เลือดสด(Fresh Blood) ปนออกมากันอุจาระจะสังเกตเห็นง่ายจากสีแดงของเลือดการที่มีเลือดแดงสดปนอยู่กับอุจจาระอาจมีจำนวนเล็กน้อย ซึ่งเกิดขึ้นได้จากมีการระคายเคืองบริเวณทวารหนักจากก้อนอุจจาระ การฉีกขาดของริดสีดวงทวาร(Hemorrhoids)เลือดออกมาจากแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กการระคายเคืองหรืออักเสบอย่างรุนแรงจากลำไส้อักเสบ(Colitis)การอักเสบของส่วนผนังลำไส้ที่ยื่นออกมา(Diverti Culitis) มะเร็งหรือโรคอื่น ๆ ที่มีผลทำให้เกิดภาวะเลือดออกขึ้น

2.1.2เลือดเก่า(Old Blood) หรือเลือดที่แอบแฝงมองไม่เห็น(Occult Blood)สีของเลือดที่พบจะสามารถบ่งบอกถึงตำแหน่งของเลือดที่ออกได้หากเลือดออกบริเวณทางเดินอาหารส่วนบนบริเวณกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เมื่อผ่านกระบวนการย่อยแล้ว พบว่าลักษณะของอุจจาระจะเปลี่ยนไปจากสีน้ำตาลเป็นสีดำสนิท(Dark Black Color) เหนียวมีกลิ่นฉุน เรียกว่า Melena

2.2. อุจจาระมีสีขาวซีด(Pale White Stool) เป็นข้อบ่งชี้ว่าไม่มีน้ำดีในลำไส้เล็ก แสดงว่า มีการอุดกั้นทางเดินน้ำดีซึ่งผลิตจากตับ และถุงน้ำดีทำให้น้ำดีไม่สามารถเข้าสู่ลำไส้ อุจจาระจึงมีสีขาวซีด

2.3. ลักษณะอุจจาระที่ผิดปกติอื่น ๆอาจพบได้ เช่น มีมูก หนอง พยาธิ ไขมัน เป็นต้นการที่อุจจาระมีมูก แสดงว่ามีการอักเสบหรือระคายเคืองบริเวณผนังด้านในของลำไส้ส่วนมากจะพบมูกอยู่บนผิวของอุจจาระการพบหนองแสดงว่ามีการระบายออกจากแผลที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อส่วนพยาธิที่พบบ่อยในลำไส้ได้แก่ พยาธิตังตืด (Tapeworm)พยาธิเข็มหมุด(Pinworm)และพยาธิตัวกลม(Roundworm)อุจจาระที่มีไขมันมากผิดปกติ จะมีกลิ่นเหม็นและลอยอยู่บนผิวน้ำ ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับปัญหาในระบบดูดซึมสารอาหารและ ควรจะไปพบแพทย์..

มารู้จักอาหารกรด-อาหารด่างกันเถอะ

http://www.rakbankerd.com/kaset/Rice/359_1.jpg

อาหารทุกชนิดที่เราคุ้นเคยกันในชีวิตประจำวันสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มตามคุณสมบัติทางเคมีของอาหารก็คือ อาหารที่มีความเป็นกรด(Acid-forming diets) และอาหารที่มีความเป็นด่าง(Alkaline or Base-forming diets) ถ้าจะถามว่า คุณคิดว่าน้ำมะนาวเป็นกรดหรือด่าง แน่นอนว่าแทบจะทุกคนอาจคิดว่า มะนาวมันเปรี้ยว ก็ต้องเป็นกรดอย่างแน่นอน คำตอบคือ ผิดครับ เพราะแท้จริงแล้ว การวัดความเป็นกรดเป็นด่างนั้นไม่ได้สัมพันธ์กับรสชาดอาหาร ไม่อย่างนั้นอาหารที่มีรสจืดสนิทอย่างนมจืดก็ต้องถือว่าเป็นกลาง และนมเปรี้ยวก็ต้องเป็นกรด แล้วตกลงจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารที่ทานนั้นเป็นกรดหรือด่างกันแน่

เริ่มแรกขออธิบายถึงความเป็นกรดเป็นด่างอย่างง่ายๆกันเสียก่อน โดยความเป็นกรดเป็นด่างนั้นเรามักเรียกติดปากว่า “ค่า pH”ซึ่งย่อมาจาก “Power of Hydrogen” ซึ่งประจุของHydrogenนี้เองที่จะเป็นตัวกำหนดว่า อาหารนั้นมีความเป็นกรดหรือด่าง ถ้า pHเท่ากับ7จะถือว่าเป็นกลาง(Neutral)มากกว่า7ถือว่าเป็นด่าง(Alkaline)และน้อยกว่า7ถือว่าเป็นกรด(Acidic)โดยวิธีการตรวจสอบว่าอาหารชนิดไหนเป็นกรดหรือด่างนั้น เพียงนำอาหารมาเผาจนเป็นขี้เถ้า(Ash)แล้วนำขี้เถ้าเหล่านั้นไปละลายน้ำแล้วหาค่าpHการที่นำอาหารไปเผานั้นก็จะคล้ายกับกระบวนการเผาผลาญอาหารที่เกิดในร่างกายหลังจากที่รับประทานเข้าไป และขี้เถ้าจึงเสมือนเป็นของเหลือสุดท้ายหลังจากที่อาหารถูกย่อยสลายจนหมด แน่นอนว่าความเป็นกรดเป็นด่างที่เกิดขึ้นนั้นย่อมจะส่งผลต่อร่างกายตามมาอย่างแน่นอน

อาหารที่มีรสเปรี้ยวอย่างน้ำมะนาวที่ยกตัวอย่างในตอนแรกและจัดอยู่ในกลุ่มของอาหารที่มีความเป็นด่างนั้น(Base-forming food)ข้อเสียที่เกิดขึ้นก็อาจมีเรื่องของความระคายเคืองที่เกิดกับกระเพาะอาหารโดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาโรคแผลในกระเพาะอาหารอยู่ก่อนแล้ว แต่หลังจากนั้นน้ำมะนาวที่มีส่วนประกอบของกรดซิตริกจะถูกกลไกทางชีวเคมีของร่างกายเปลี่ยนให้เป็นก๊าซแล้วขับออกทางลมหายใจ

แต่ในทางกลับกัน หากเป็นน้ำอัดลม ชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของอาหารที่มีความเป็นกรด(Acidic-forming food) ข้อเสียต่อทางเดินอาหารก็คงจะคล้ายกับน้ำมะนาว ซึ่งสร้างความระคายเคืองให้กับกระเพาะอาหารได้ แต่สิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือ เครื่องดื่มเหล่านี้หากดื่มเป็นระยะเวลานาน ความเป็นกรดที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อความสมดุลของแร่ธาตุแคลเซียม(Calcium Balance) เนื่องจากร่างกายจำเป็นต้องสะเทินฤทธิ์ความเป็นกรดที่เกิดขึ้น โดยการดึงเอาแคลเซียมที่อยู่ในกระดูกและฟันออกมา(Bone Mineralization) เพื่อรักษาความเป็นกรด-ด่างของร่างกายให้มีpHประมาณ7.4และสิ่งที่ตามมานั้นจึงหนีไม่พ้นภาวะกระดูกพรุน(Osteoporosis) นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีข้อเสียอื่นๆที่เกิดจากการที่ร่างกายเป็นกรดเวลานาน อาทิเช่น การเหนี่ยวนำให้เกิดนิ่ว(Calcium kidney stones) ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อและกระดูก หอบหืด และความดันโลหิตสูงเป็นต้น

ด้วยเหตุนี้การรับประทานอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกายนั้น จึงควรเป็นอาหารในกลุ่มBase-forming food ได้แก่ น้ำผักผลไม้สด ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองและข้าวบาร์เล่ย์ สมุนไพรตระกูลโสม นมสดผลไม้ทุกชนิดยกเว้นพรุนและแอปพริคอท ผักทุกชนิดยกเว้น หน่อไม้ฝรั่งArtichoke, Watercress เป็นต้น และพวกเครื่องเทศชนิดต่างๆ เช่น พริกไทย ขิง อบเชย เป็นต้น

ขณะเดียวกันก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นAcidic-forming food อาทิเช่น เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไขมัน แป้ง ชีส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต น้ำตาลขัดสี อาหารสำเร็จรูป และน้ำมันพืชที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีบีบเย็น(Cold Pressed) เป็นต้น

เมื่อคุณรู้ข้อดีข้อเสียของอาหารที่ว่านี้แล้ว สิ่งที่คุณควรจะทำต่อไปก็คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร โดยการเพิ่มสัดส่วนของอาหารที่ช่วยควบคุมสภาวะด่างของร่างกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป รับรองว่าสิ่งที่คุณจะได้ตามมาก็คือความมีสุขภาพดีไปอีกนานแสนนานนั่นเอง

ระบบทางเดินอาหาร


ระบบทางเดินอาหารถือว่าเป็นระบบที่มีความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ เนื่องจากหน้าที่หลักของระบบทางเดินอาหาร คือ การย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานและนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ในการเสริมสร้างส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ระบบทางเดินอาหารมีอวัยวะที่เกี่ยวข้องดังนี้

1. ปาก

ปากเป็นอวัยวะแรกของระบบทางเดินอาหาร ภายในประกอบด้วย ฟัน ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ลิ้น ทำหน้าที่รับรสชาดอาหารและคลุกเคล้าอาหารให้อ่อนตัว ง่ายต่อการบดเคี้ยวของฟัน ต่อมน้ำลายทำหน้าที่ขับน้ำลายออกมาลุกเคล้ากับอาหาร และในน้ำลายยังมีเอนไซม์อะไมเลส ซึ่งทำหน้าที่ย่อยอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต แป้งให้เป็นน้ำตาลดังนั้นเมื่อเราอมข้าวเปล่าไว้นานๆ จึงรู้สึกหวานนิดๆ

2. หลอดอาหาร

เป็นท่อกลวงขนาดสั้น ส่วนปลายของหลอดอาหารเป็นกล้ามเนื้อหูรูด ซึ่งสามารถบีบตัวให้หลอดอาหารปิด ป้องกันไม่ให้อาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับสู่หลอดอาหารได้อีก หลอดอาหารไม่มีหน้าที่ในการย่อยอาหาร แต่ทำหน้าที่หดตัว บีบไล่อาหารลงสู่กระเพาะอาหาร เพราะหลอดอาหารมีผนังที่ยืดและหดตัวได้




3. กระเพาะอาหาร

เป็นอวัยวะที่อยู่ต่อจากหลอดอาหาร ตั้งอยู่บริเวณใต้ทรวงอกของคนเรา มีรูปร่างเป็นถุงคล้ายรูปตัว เจ ผนังกระเพาะอาหารมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและมีความยืดหยุ่นสูงมาก มีกล้ามเนื้อหูรูดติดกับหลอดอาหารและลำไส้เล็ก ปกติกระเพาะอาหารที่ไม่มีอาหารจะมีขนาดประมาณ50ลูกบาศก์เซนติเมตร และสามารถขยายตัวเมื่อมีอาหารได้อีก10 - 40 เท่า ขณะเคี้ยวอาหารจะมีการกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อย ซึ่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหารประกอบด้วยเพปซิน (pepsin)เรนนิน(rennin) ไลเพส(lipase)นอกจากนี้ยังมีกรดไฮโดรคลอริกและน้ำเมือก โดยเอนไซม์เพปซินจะช่วยย่อยอาหารประเภทโปรตีนซึ่งจะทำงานได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด เอนไซม์เรนนินจะช่วยย่อยโปรตีนในนม ส่วนเอนไซม์ไลเพสจะทำหน้าที่ย่อยอาหารประเภทไขมันซึ่งในกระเพาะอาหารมีไลเพสปริมาณน้อยมากและไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากกระเพาะอาหารมีสภาพเป็นกรด ไขมันจะผ่านกระเพาะอาหารออกไปโดยไม่ถูกย่อย โดยทั่วไปอาหารจะสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารได้ประมาณ2 – 4ขั่วโมงแล้วจะถูกส่งต่อไปยังลำไส้เล็ก

4. ลำไส้เล็ก

มีรูปร่างเป็นท่อ มีความยาวมากถึง 20ฟุต ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีความยาวมากสุดในร่างกาย และเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้อย่างสมบูรณ์เนื่องจากที่ลำไส้เล็กสามารถย่อยอาหารได้ทุกประเภทตั้งแต่คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนโดยอาศัยน้ำย่อยจากตับและตับอ่อนเข้าช่วย อาหารที่ผ่านการย่อยแล้วจะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดและกระจายไปทั่วร่างกาย เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่วนกากอาหารที่เหลือจะผ่านไปตามลำไส้ใหญ่ต่อไป โดยทั่วไปอาหารจะสามารถอยู่ในลำไส้เล็กประมาณ7-8ชั่วโมงก่อนส่งไปที่ลำไส้ใหญ่ต่อไป

5. ลำไส้ใหญ่

มีรูปร่างเป็นท่อกลวงขนาดใหญ่ ส่วนปลายเป็นกล้ามเนื้อหูรูด เรียกว่า ทวารหนัก ในลำไส้ใหญ่จะไม่มีการย่อยอาหาร แต่ทำหน้าที่ดูดน้ำและแร่ธาตุบางส่วนที่เหลืออยู่ในกากอาหารเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้กากอาหารเหนียวและข้นขึ้นรอการขับถ่ายออกมาเป็นอุจจาระต่อไป


ในการย่อยอาหารนอกจากมีอวัยวะที่เป็นทางเดินอาหารแล้ว ยังมีอวัยวะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยย่อยอาหารโดยเฉพาะในการย่อยอาหารในลำไส้เล็ก เนื่องจากอวัยวะต่างๆ ที่ได้กล่าวมานั้นไม่สามารถที่จะย่อยสารอาหารบางชนิดได้ทำให้ต้องมีอวัยวะช่วยย่อยอาหารในการย่อยสารอาหารบางชนิดได้แก่ ตับและตับอ่อน

1. ตับ

เป็นอวัยวะซึ่งมีต่อมที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย อยู่ช่องท้องใต้กระบังลมทำหน้าที่สร้างน้ำดีแล้วนำไปเก็บสะสมไว้ในถุงน้ำดี โดยปกติตับทำหน้าที่หลายอย่าง แต่หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารที่สำคัญคือ การสร้างน้ำดี ซึ่งน้ำดีประกอบด้วยเกลือน้ำดี รงควัตถุน้ำดี และคอเลสเตอรอลโดยน้ำดีที่สร้างจะช่วยทำให้ไขมันแตกตัว ทำให้น้ำย่อยไขมันสามารถที่จะย่อยอาหารประเภทไขมันได้ดีในลำไส้เล็ก

2.ตับอ่อน

ตับอ่อนเป็นอวัยวะที่อ่อนนุ่ม อยู่ระหว่างกระเพาะอาหารกับลำไส้เล็กตอนบน ทำหน้าที่หลักอยู่สองระบบคือในระบบทางเดินอาหารเอง ทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยอาหารหลายชนิดทั้งน้ำย่อยโปรตีน ไขมันและคาร์โบไฮเดรต ก่อนส่งไปยังลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อเกิดการย่อยและดูดซึมสารอาหารต่อไปส่วนระบบต่อมไร้ท่อนั้น จะทำหน้าที่ให้ฮอร์โมนในการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด

การตรวจระบบทางเดินอาหาร

http://blog.spu.ac.th/home/blog_data/664/664/images/z3.jpg
โดยปกติแล้วทุกคนควรได้รับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อประเมินสุขภาพตนเองว่าร่างกายมีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง เพื่อที่จะแก้ไขและได้รับการรักษาได้ทันท่วงที รวมทั้งเป็นการเตือนให้เราต้องใส่ใจกับการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ โรคบางโรคเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรือไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติโดยการตรวจร่างกายภายนอก ต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมด้วย เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ และเอกซเรย์ เป็นต้น เพื่อช่วยค้นหาสิ่งผิดปกติที่อาจซ่อนเร้นอยู่ โดยเฉพาะกับอวัยวะภายในร่างกายซึ่งรวมถึงอวัยวะต่างๆ ในระบบทางเดินอาหาร

การตรวจอุจจาระเป็นตัวอย่างหนึ่งของการตรวจทางห้องปฏิบัติการในการช่วยวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ส่วนใหญ่ใช้ในการหาสาเหตุของโรคว่าเกิดจากจุลินทรีย์ก่อโรคชนิดใด การตรวจเริ่มจากการสังเกตตั้งแต่ สี กลิ่น และลักษณะของอุจจาระว่าเป็นอย่างไร เช่น อุจจาระมีลักษณะแข็ง เหลวหรือน้ำ มีมูกหรือเลือดปนหรือไม่ หรือบางครั้งอาจพบชิ้นส่วนของพยาธิปนออกมา การตรวจอุจจาระยังสามารถบอกถึงความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารได้อีกด้วย เช่น การตรวจอุจจาระที่มีเลือดปนมา ซึ่งพบได้ในโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้อุดตัน มะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ ริดสีดวงทวาร เป็นต้น การตรวจไม่พบน้ำดีในอุจจาระซึ่งทำให้อุจจาระมีสีซีดช่วยบอกถึงการอุดตันของท่อน้ำดี เป็นต้น

การตรวจเลือดก็สามารถใช้เป็นตัวบอกสมรรถภาพของตับ ซึ่งนับว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญมากในระบบทางเดินอาหาร โดยการตรวจวัดระดับเอนไซม์ในตับเอนไซม์ที่สำคัญได้แก่aminotransferaseและalkaline phosphatase (ALP) ซึ่งaminotransferaseมีอยู่2 ชนิดได้แก่aspartate aminotransferase มีชื่อย่อว่าAST หรือชื่อเดิมคือSGOT พบมากที่หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อและไต และalanine aminotransferase มีชื่อย่อว่าALT หรือชื่อเดิมคือSGPT พบมากที่ตับ การตรวจระดับเอนไซม์ดังกล่าวช่วยบอกภาวะการทำงานของตับและโรคบางชนิดได้เช่น โรคที่ตรวจพบว่า ALPสูง ได้แก่ ตับอักเสบ ตับแข็ง มะเร็งตับ นิ่วในถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดี เป็นต้น

การตรวจสารบางชนิดในเลือดเช่น บิลิรูบิน (bilirubin)ก็สามารถช่วยให้ข้อมูลที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคของตับ เช่น ภาวะที่มีอาการคั่งค้างของบิลิรูบินเกินปกติในเลือดทำให้สารนี้ไปย้อมจับที่ผิวหนัง เล็บ ตาขาวให้เป็นสีเหลือง ซึ่งเป็นที่มาของอาการดีซ่านหรือตาตัวเหลือง(jaundice)ซึ่งมีสาเหตุมาจากการอุดกั้นของทางเดินน้ำดี ทำให้บิลลิรูบินผ่านลงมาตามทางเดินน้ำดีไม่สะดวก และเกิดการคั่งค้างภายในตับและเข้ามาในเลือด ทำให้มีอาการตาตัวเหลือง

นอกจากนี้การตรวจทางรังสีซึ่งเรามักจะชินกับคำว่า เอกซเรย์ ก็สามารถนำมาใช้ตรวจระบบทางเดินอาหารได้ โดยการให้ดื่มสารทึบรังสีหรือที่เรามักจะได้ยินว่าให้กลืนแป้ง ซึ่งเป็นสารแบเรียมซัลเฟตร่วมกับภาพถ่ายเอกซเรย์เพื่อดูความผิดปกติตั้งแต่หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่

ปัจจุบันในการวินิจฉัยโรคระบบทางเดินอาหารสามารถทำได้รวดเร็วและถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินอาหารส่วนบน ตั้งแต่หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้นด้วยการส่องกล้องที่เรียกว่าGastroscopeและทางเดินอาหารส่วนล่าง ตั้งแต่ปากทวารถึงลำไส้ใหญ่ที่เรียกว่าColonoscopeซึ่งสามารถเห็นภาพผนังของอวัยวะดังกล่าวได้อย่างชัดเจน ผ่านจอมอนิเตอร์และบันทึกภาพเก็บไว้ นอกจากนี้ยังสามารถเก็บเนื้อเยื่อส่งตรวจได้อีกและยังใช้เป็นอุปกรณ์ในการรักษาซึ่งอดีตจำเป็นต้องใช้การผ่าตัด นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์Capsule Endoscopeถือว่าเป็นวิวัฒนาการใหม่ของการตรวจด้วยกล้องในระบบทางเดินอาหาร มีลักษณะเป็นแคปซูลขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยสามารถลงไปถึงลำไส้เล็กได้ลึกกว่าการใช้กล้องธรรมดาการตรวจความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารโดยการส่องกล้องในทางเดินอาหารเป็นการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางและตรวจกับผู้ป่วยเฉพาะรายที่มีข้อบ่งชี้ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับคำอธิบายให้เข้าใจถึงเหตุผลการตรวจพร้อมขั้นตอนการตรวจ และต้องมีการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ

ให้อาหารมาดูแลระบบทางเดินอาหารกันไหม

http://diary.yenta4.com/diary_folder/209598/209598_uploaded/17.gif

สำหรับการใช้ชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะในสังคมเมืองอย่างที่ เราอยู่กันทุกวันนี้ แน่นอนว่าพ่อแม่ต้องกุลีกุจอตื่นนอนแต่ไก่โห่ เสร็จแล้วก็หนีบลูกตัวน้อยกระเตงขึ้นรถเพื่อไปส่งโรงเรียนให้ทันแปดโมงเช้า ระหว่างทางก็แวะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งเป็นอาหารเช้าให้คุณลูก ส่วนคุณพ่อคุณแม่จะกินบ้างไม่กินบ้างตามประสาคนเมือง จากนั้นก็กระหน่ำทำงาน รู้ตัวอีกทีก็ค่ำเสียแล้ว แวะซื้ออาหารถุงที่ร้านประจำข้างทาง ขับรถกลับบ้าน นอน และเริ่มตารางชีวิตเช้าวันใหม่เหมือนเช่นเคย เริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัวของใครหลายคน พร้อมกับคำถามที่เราอยากจะถามคุณพ่อ คุณแม่ และคุณลูกตามท้องเรื่องนั้นว่า คุณคิดว่าคุณได้รับอาหารที่มีคุณค่าตามหลักโภชนาการ สะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อนหรือไม่ และอีกข้ออันเป็นหัวใจของเรื่องก็คือ คุณคิดว่าอาหารที่รับประทานนั้นช่วยส่งเสริมให้การทำงานของระบบทางเดินอาหาร ดีเพียงพอหรือเปล่า

ถ้าคำตอบของคุณมีตั้งแต่ ไม่เพียงพอหรอก หรือเข้าข่ายลังเลว่า ฉันก็เป็นอย่างที่ว่านี่แหละ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เราแนะนำให้คุณค่อยๆ อ่านสิ่งที่อยู่ในบทความต่อไปนี้อย่างตั้งใจ จากนั้นลองเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของคุณตามที่เราบอกนี้ เพราะความเป็นจริงของคนไทยในปัจจุบันก็คือ การเกิดโรคต่างๆของระบบทางเดินอาหารนั้นมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการรับ ประทานอย่างมีนัยสำคัญแน่นอน มาถึงจุดนี้ เราลองมาดูกันว่าความผิดปกติของทางเดินอาหารนั้นมีอะไรบ้าง และเราต้องทำอย่างไรเพื่อจะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเหล่านั้น

อันดับแรกโรคกระเพาะ(Peptic/ Duodenal ulcer)จัด ว่าเป็นโรคทางเดินอาหารที่เราคุ้นเคยที่สุดอันดับหนึ่งของชาวเมืองหลวง สาเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะก็คือ การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา ทานบ้างหยุดบ้าง แถมบางรายก็มีความเสี่ยงอันเนื่องจากการมีความเครียดเป็นนิจ แน่นอนว่าของแถมที่คุณมักได้รับก็คือ ปริมาณกรดในกระเพาะอาหารที่หลั่งออกมามากกว่าปกติ จนทำให้เกิดแผลในกระเพาะหรือลำไส้เล็กส่วนต้นขึ้นมา และเป็นที่มาของอาการปวดกระเพาะนั่นเอง

สิ่งที่คุณสามารถปรับเปลี่ยนได้ก็คือการรับประทานอาหารให้ตรงเวลา ลดอาหารรสจัด เคี้ยวอาหารช้าๆเพื่อให้ละเอียดพอที่จะช่วยลดภาระการทำงานของกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงจะลดการสัมผัสโดยตรงของน้ำย่อยกับผนังกระเพาะอาหารซึ่งจะส่งผลดีต่อแผลในทางเดินอาหาร สำหรับการรับประทานอาหารเสริมนั้นAloe vera gel extractซึ่งเป็นสมุนไพรจากว่านหางจระเข้ที่ช่วยลดอาการของโรคกระเพาะได้เนอ ย่างดี ประกอบด้วยเส้นใยอาหารขนาดเล็กมากที่ช่วยสมานแผลในทางเดินอาหาร อีกทั้งยังมีเอนไซม์ที่ต้านการอักเสบจากสารBradykininดังนั้นด้วยสรรพคุณเหล่านี้จึงทำให้Aloe vera สามารถลดอาการอักเสบของโรคกระเพาะอาหารได้

ถัดมาก็จะเป็นความผิดปกติของทางเดินอาหาร ได้แก่ ภาวะอาหารไม่ย่อย ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง (Dyspepsia)อาการ ที่ว่านั้นโดยมากมักจะเกิดจาก การทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ปริมาณมาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่มีลักษณะของเนื้อที่หยาบ เช่น เนื้อวัว,เนื้อเป็ดและ เนื้อหมู การทานผักผลไม้ดิบที่เกิดก๊าซได้ง่าย รวมไปถึงอาหารประเภททอดที่มีน้ำมันมากๆ วิธีการแก้ไขนั้น จำเป็นจะต้อง ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลงหรือเปลี่ยนมาทานให้บ่อยมื้อขึ้น สัดส่วนของอาหารก็ควรให้มีผักผลไม้มากขึ้น เลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่ายก็จะเป็นพวก เนื้อไก่ หรือ ปลา นอกจากนี้การรับประทานทุกครั้งก็ควรจะเคี้ยวให้ละเอียดมากขึ้นเพื่อช่วยให้อาหารมีการย่อยสมบูรณ์มากขึ้น สำหรับอาหารที่จะช่วยลดภาวะท้องอืดท้องเฟ้อนั้นได้แก่ เอนไซม์ช่วยย่อยจากธรรมชาติเช่น เอนไซม์ปาร์เปนจากมะละกอ หรือโบรเมเลนจากสับปะรด นอกจากนี้ก็จะมีพวกสมุนไพรจำพวกขิง ข่า และขมิ้นสดซึ่งอาจจะรับประทานในรูปสารสกัดก็ได้


ความผิดปกติของทางเดินอาหารอื่นๆ ได้แก่ อาการท้องผูก ท้องเสีย อาการริดสีดวงทวาร หรือกลุ่มอาการไอบีเอส(Irritable Bowel Syndrome)ซึ่ง มีลักษณะของการท้องผูกและท้องเสียสลับกัน แต่จะมีอาการอันใดอันหนึ่งเด่นกว่าอีกอาการ โดยปกติอาการท้องผูกโดยทั่วไปนั้นมีสาเหตุมาจาก การรับประทานอาหารกากใยน้อย การดื่มน้ำน้อย การดื่มชา และมีความเครียดเป็นประจำ รวมถึงการขับถ่ายไม่เป็นเวลา ด้วยเหตุนี้วิธี แก้ไขส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เช่น การรับประทานกากใยจากผักผลไม้มากขึ้น ซึ่งอาจจะเลือกรับประทานในรูปของไฟเบอร์สำเร็จรูปก็ได้ อาทิเช่นPsyllim seed husk, Oat Bran

ส่วนอาการท้องเสียนั้นมักจะเกิดจากการติดเชื้อทางเดินอาหารการ รับประทานยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน การอยู่ในสภาวะเครียด ความผิดปกติในการย่อยอาหารบางประเภท เป็นต้น วิธีแก้ปัญหาอย่างง่ายและได้ผลดีวิธีหนึ่งก็คือการรับประทานอาหารจำพวกโปรไบโอติกส์(probiotics)ที่พบได้ในนมเปรี้ยวซึ่ง ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีที่ทำหน้าที่ปรับสมดุลของจุลินทรีย์ใน ลำไส้และต่อสู้กับจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดอาการท้องเสียโดยวิธีธรรมชาติ นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องของโรคตับและถุงน้ำดีโดยปกติตับจะเป็นอวัยวะ ที่สร้างน้ำดี ความผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้นกับตับจะส่งผลต่อน้ำดีตามมา ดังนั้นจึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่เป็นโรคตับมักจะมีอาการ อ่อนเพลีย ตัวเหลือง ตาเหลือง อันเกิดจากเม็ดสีของน้ำดีที่กระจายไปทั่วร่างกายวิธี การดูแลที่ถูกต้องนั้น คือ ผู้ป่วยควรพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารมัน อาหารทอด เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารหวานจัด รับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่ายจะช่วยทำให้ตับไม่ต้องทำงานหนักอีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับให้กลับมาดีดังเดิม

สุดท้ายแล้วจะเห็นได้ว่าการรับประทานอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพของระบบทางเดินอาหารนั้นก็คงหนีไม่พ้นอาหารจำพวกธัญพืชหรือผักผลไม้ที่ให้กากใยปริมาณสูงขณะ เดียวกันควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ติดมันที่ย่อยยาก และสิ่งสำคัญที่สุดอีกประการนั้นก็คือ การตระหนักถึงพฤติกรรมการรับประทานของเรานั่นเอง เพราะไม่ว่าเราจะรับประทานอะไรเข้าไปก็ตาม สิ่งเหล่านั้นสะท้อนให้เห็นถึงสุขภาพของเราตามมา แน่นอนว่า ประโยคคลาสสิกที่ว่า “You are what you eat”นั้นยังคงใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ

วัยทองของผู้ชายคืออะไร(Andropause)?

http://img397.imageshack.us/img397/6827/imageip3.jpg
วัยทองของผู้ชายคืออะไร

“วัยทอง”เป็นวัยแห่งความสำเร็จ เกียรติยศ ความภาคภูมิใจของชีวิตมนุษย์ แต่ในทางการแพทย์จะหมายถึงวัยที่สุขภาพร่างกายทั้งหญิงและชายเริ่มมีความไม่สมดุลและเสื่อมถอยลงทีละน้อย โดยเฉพาะผู้หญิงมักมีอาการแสดงออกของปัญหาด้านสุขภาพอย่างรุนแรงและเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าผู้ชาย เนื่องจากภาวะหมดประจำเดือน ทำให้รังไข่แทบจะหยุดผลิตฮอร์โมนไปเลย ส่วนผู้ชายวัยทอง (Andropause)นั้นได้เปรียบกว่าผู้หญิงเนื่องจากยังคงมีการสร้างฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone)ไปตลอดชีวิต แต่การสร้างจะลดลงไปบ้าง ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า "Partial Androgen Deficiency in Aging Male (PADAM)" ภาวะเช่นนี้จะยังผลเสียต่อระบบต่างๆ ร่างกายและจิตใจอย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อย

อาการเริ่มแรกของผู้ชายวัยทองที่เห็นเป็นอันดับแรก คือ อาการทางด้านจิตใจและอารมณ์เช่น นอนไม่หลับ ตื่นนอนกลางคืนแล้วหลับยาก กระสับกระส่าย หงุดหงิด ซึมเศร้า เหงา เครียด หลงๆ ลืมๆ ตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ไม่ได้ มองโลกในแง่ร้าย ขาดความมั่นใจในตัวเอง และสิ่งสำคัญที่สุดที่จะตามก็คือ อาการเสื่อมถอยลงของระบบต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งที่ปรากฏได้ชัด คือ

-ภาวะกระดูกพรุน มักเกิดกับกระดูกสันหลัง ทำให้หลังโกง หักง่าย ความสูงลดลง เนื่องจากกระดูกสันหลังยุบตัวลง

-การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น เนื่องจากระดับฮอร์โมนเพศชายลดต่ำลง ทำให้เพิ่มระดับไขมันไม่ดีในร่างกาย เช่น Triglyceride, LDL-cholesterol ส่งผลเกิดภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือดตามมาได้

-กล้ามเนื้อและไขมัน กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเล็กหรือลีบลง มีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อย และระบบการเผาผลาญไขมันลดลง ทำให้มีการสะสมของไขมันบริเวณท้องเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ท้องโตคล้ายลูกแอปเปิ้ลหรือที่เรียกว่า “ลงพุง”

-บทบาททางเพศ พบว่า ความต้องการทางเพศลดลง รวมถึงความสามารถในการหลั่งอสุจิก็จะลดลงด้วย

ดังนั้นการที่จะเป็นหนุ่มวัยทองที่มีสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

-พบแพทย์ : เพื่อ ตรวจร่างกายเป็นประจำ รวมทั้งรับคำแนะนำที่จำเป็นต่อการรักษาเมื่อมีอาการในช่วงวัยทอง ซึ่งอาจใช้ยาหรือวิธีการรักษาร่วมอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การรักษาย่อมไม่ดีไปกว่าการป้องกันหรือการยืดเวลาแห่งความเป็นหนุ่มที่ กระชุ่มกระชวยออกไปให้นานที่สุดด้วยการปรับการใช้ชีวิตโดยยึดหลักง่ายๆ ที่ว่า “5 อ. ชะลอความเสื่อม” ได้แก่
-“อาหาร” เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงขนมขบเคี้ยว อาหารไขมันสูง ของทอด อาหารฟาสต์ฟู้ดส์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน อาหารแปรรูป อาหารหมักดอง เน้นผักผลไม้สด รวมถึงอาหารที่มีเส้นใย และที่สำคัญควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน

-“ออกกำลังกาย” ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 20-30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง สำหรับการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการเพิ่มสมรรถภาพของปอดและช่วยให้ร่างกายและหัวใจแข็งแรง ก็คือ การเดิน จ๊อกกิ้ง ขี่จักรยาน เป็นต้น

-“อิ่มอุ่นเมื่อนอนหลับ” 90% ของฮอร์โมนเพศชายถูกสร้างในเวลากลางคืน ดังนั้นร่างกายควรจะได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่และมีคุณภาพ เพื่อช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของฮอร์โมนเพศชายให้มากขึ้น

-“อากาศ” ควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นมลพิษในเมือง และลองหาอากาศบริสุทธิ์ในธรรมชาติ เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับร่างกาย เสริมสร้างให้สุขภาพกายและใจสดชื่นแจ่มใส

-“อารมณ์และจิตใจ” ต้องเป็นคนมองโลกในแง่ดี อย่าหวาดระแวง วิตกจริต ลดความเครียด มีความมั่นใจในตัวเอง และที่สำคัญต้องรักตัวเอง พร้อมค้นหาสิ่งดีๆ เพื่อเป็นรางวัลให้กับตัวเองอยู่เสมอ



เพียงเท่านี้ คุณผู้ชายวัยทองทั้งหลายก็สามารถกลับเป็นหนุ่ม ได้แน่นอน!!!

ทุกอย่างที่ผู้ชายควรรู้เกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก

http://www.vcharkarn.com/uploads/12/12326.jpg
ปัจจุบันจำนวนชายไทยที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยจากสถิติตัวเลขของชายไทยที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ถือเป็นอันดับ 2รองจากโรคมะเร็งปอด มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่มาตรวจรักษาพบว่า เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะลุกลาม โดยที่ไม่มีอาการบ่งชี้ นับว่าเป็นภัยใกล้ตัวของท่านชายที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว โรคมะเร็งต่อมลูกหมากสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะต้น ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับโรคนั่นเอง

ความสำคัญของต่อมลูกหมาก

ต่อมลูกหมากเป็นอวัยวะหนึ่งของระบบสืบพันธ์ของผู้ชาย โดยจะอยู่รอบท่อปัสสาวะทำหน้าที่ผลิตน้ำหล่อเลี้ยงเชื้ออสุจิ ต่อมลูกหมากจำเป็นต้องได้รับการหล่อเลี้ยงจากฮอร์โมนเพศชาย(Testosterone)ซึ่งสร้างมาจากส่วนอัณฑะ

สาเหตุ

1. อายุ โรคมะเร็งต่อมลูกหมากพบมากในผู้ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไป เมื่ออายุมากขึ้นโอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเพิ่มมากขึ้น โดยเฉลี่ยประมาณ 70 ปี

2. ประวัติครอบครัว ผู้ที่มีประวัติบิดาหรือพี่น้องชายเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น

3. อาหาร พบว่าอาหารที่มีไขมันสูงเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนผู้ที่บริโภคผักและผลไม้จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก

อาการ

ในระยะแรกผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วเพื่อวินิจฉัยโรค เพราะอาการเหล่านี้อาจพบในผู้ป่วยที่เป็นต่อมลูกหมากโตหรือต่อมลูกหมากอักเสบ เช่น ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน,ปัสสาวะไม่พุ่ง,เจ็บปวดเวลาถ่ายปัสสาวะ,มีเลือดปนมากับน้ำปัสสาวะ และ ปวดกระดูก ปวดตามข้อ ปวดหลัง

การวินิจฉัย

1. การตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนัก โดยแพทย์จะใช้นิ้วสอดเข้าไปทางรูทวารหนัก เพื่อตรวจขนาดรูปร่างและความยืดหยุ่นของต่อมลูกหมาก หากเป็นมะเร็งมักคลำได้ก้อนแข็ง

2. การเจาะเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็งหรือที่เรียกว่า PSA (Prostate Specific Antigen) ซึ่งเป็นสารที่ถูกผลิตจากต่อมลูกหมาก ในคนปกติค่า PSA อยู่ระหว่าง 0-4 ng/ml หากค่านี้เกิน 10 ng/ml โอกาสเกิดมะเร็งก็จะสูง

3. การตรวจอัลตราซาวน์ เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียง โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดเข้าทางทวารหนัก

4. การตรวจชิ้นเนื้อ เมื่อแพทย์ตรวจพบก้อนเนื้อที่สงสัย จะทำการตัดชิ้นเนื้อจากต่อมลูกหมาก เพื่อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยาดูว่าเป็นมะเร็งหรือไม่


การรักษา

1. การผ่าตัด เป็นวิธีการที่นิยมในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรก เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่อายุไม่มากและมีสุขภาพแข็งแรง

2. การฉายแสง เหมาะสำหรับผู้ป่วยสูงอายุ หรือมีโรคแทรกซ้อนซึ่งไม่เหมาะที่จะรักษาโดยการผ่าตัดหรือใช้ฮอร์โมน

3. การรักษาด้วยฮอร์โมน เหมาะสำหรับผู้ป่วยในระยะแพร่กระจาย หรือป้องกันการเป็นซ้ำหลังจากรับการรักษาแล้ว

การป้องกัน

-หมั่นตรวจสุขภาพต่อมลูกหมากเป็นประจำทุกปี
-หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และพยายามรับประทานอาหารที่มีสาร Lycopene เช่น มะเขือเทศ ฟักทอง, แร่ธาตุซีลิเนี่ยม ช่วยลดระดับ PSA และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง, ชาเขียว ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง, สารสกัดจากผลทับทิม มีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และ วิตามิน อี ช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก.

อาหารเพิ่มความซูซ่า!

ากจะกล่าวว่า ปัจจัยทางด้านโภชนาการและสารอาหารนั้นน่าจะเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ทำให้คุณมีสุขภาพทางเพศอันแสนจะฟิตปั๋งได้ สุขภาพที่ดีอันมาจากการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ไปจนถึงเครื่องยาบำรุง ไม่ว่าจะเป็น โสม ไก่ดำ น้ำผึ้ง หรือแปะก๊วยนั้น อาจเป็นเคล็ดลับที่ช่วยให้ฟิตก็เป็นได้

ปัจจุบัน ทฤษฎีสมัยใหม่ยอมรับกันว่า อาหารที่เหมาะสมสำหรับสุขภาพทางเพศนั้นจะต้องเป็นไขมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัว ต่ำ ซึ่งจะสัมพันธ์กับการควบคุมระดับของฮอร์โมนเพศ ซึ่งหากมีมากเกินไปก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพและความกระชุ่มกระชวยทางเพศได้ นอกจากนี้อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตก็ควรเลือกแหล่งที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง โดยอาจมีกากใยอาหารรวมอยู่ด้วยก็ได้ และสารอาหารหลักที่สำคัญอีกชนิดคือ โปรตีน ซึ่งต้องรับประทานในขนาดที่พอเหมาะ เพราะหากมากหรือน้อยเกินไปก็อาจส่งผลต่อความรู้สึกทางเพศที่ลดลงได้เช่นกัน นอกจากนี้ในส่วนสารอาหารและพืชสมุนไพรนั้นก็มีหลากหลายชนิดที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพทางเพศ ได้แก่

-L-Arginine เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการผลิตอสุจิรวมทั้งยังส่งเสริมระบบการไหลเวียนโลหิตโดยออกฤทธิ์ผ่านสาร Nitric Oxide ซึ่งจะส่งผลดีต่อการตอบสนองอารมณ์ทางเพศ (arousal) ทั้งในคุณผู้หญิงและผู้ชายได้

-Ginseng root หรือโสม ถือว่าเป็นสมุนไพรที่สามารถกระตุ้นและส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศทั้งในผู้ชายและผู้หญิงได้เช่นกัน โดยสามารถทำงานร่วมกับ L-Arginine เพื่อช่วยกระตุ้นการผลิต Nitric Oxide นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เพิ่มพลังทางเพศ รวมทั้งการคืนความเหนื่อยล้าของร่างกายได้ด้วย

-Ginkgo หรือแปะก๊วย พืชสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ จึงเป็นการส่งเสริมการทำงานของ Nitric Oxide ที่ได้มาจากการทำงานของ L- Arginine

-Vitamin A, C and E วิตามินหลักที่ออกฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและยังเกี่ยวข้องกับการผลิตฮอร์โมนเพศให้เป็นปกติด้วย

-Zinc หรือธาตุสังกะสี ถือว่าเป็นแร่ธาตุหลักที่ช่วยในทำงานของต่อมลูกหมาก รวมทั้งยังมีส่วนในการควบคุมการสร้างฮอร์โมน Testosterone ในผู้ชาย และความแข็งแรงของตัวอสุจิได้

-Damiana leaf (Turnera Aphrodisiaca) เป็นสมุนไพรที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศในสตรี (Aphrodisiac herb) และยังช่วยลดความกังวล คลายเครียด และทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

-Iron หรือธาตุเหล็ก สำหรับคุณผู้หญิงนั้นธาตุอาหารชนิดนี้จะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง และลดความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้

จาก ตัวอย่างสารอาหารและสมุนไพรที่หยิบยกขึ้นมานั้นถือว่าเป็นสารอาหารที่ช่วย สนับสนุนการมีสุขภาพทางเพศที่ดี ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เคล็ดลับทางโภชนาการที่ดีไม่ว่าจะอยู่ในรูปของการรับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ การเลือกทานสารอาหาร หรือสมุนไพรที่ออกฤทธิ์เป็นสารกระตุ้นอารมณ์ทางเพศก็ตามนั้นสามารถเป็น ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนสุขภาพทางเพศให้ดีพร้อมอย่างที่คุณต้องการ